การพัฒนาบุคคลและการฝึกอบรม
|
||
วิทยาเขต/คณะ/ภาควิชา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์
|
หมวดที่ 1
ข้อมูลโดยทั่วไป
1.
รหัสและชื่อวิชา
รหัสวิชา 3563404
ชื่อวิชา การพัฒนาบุคคลและการฝึกอบรม
|
2.
จำนวนหน่วยกิต
3 หน่วยกิต
|
3.
หลักสูตรและประเภทของรายวิชา
กลุ่มวิชา
วิทยาการจัดการ
|
4.
อาจารย์ผู้รับผิดชอบรายวิชาและอาจารย์ผู้สอน
ศุภวัฒน์ ปภัสสรากาญจน์ 087-1111165 ; sup_w_at@hotmail.com;
|
5.
ภาคการศึกษา/ชั้นปีที่เรียน
ภาคเรียนที่ 1 ชั้นปีที่ 3 กลุ่ม A1 , B1
|
6.
รายวิชาที่ต้องเรียนมาก่อน(Pre-requisite)(ถ้ามี)
รหัสวิชา 3562402 การบริหารทรัพยากรมนุษย์
|
7.
รายวิชาที่เรียนพร้อมกัน(Co-requisite)(ถ้ามี)
ไม่มี
|
8.
สถานที่เรียน
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาราชภัฏสวนดุสิต
|
9.
วันที่จัดทำหรือปรับปรุงรายละเอียดครั้งล่าสุด
1 พ.ย. 2554
|
หมวดที่ 2
จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์
1.
จุดมุ่งหมายของรายวิชา
เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่บริหารงานบุคคล
การพัฒนาบุคลากร วัตถุประสงค์ เทคนิค โปรแกรมรวม การประเมินผล และปัญหาการฝึกอบรม
|
2.
วัตถุประสงค์ในการพัฒนา/ปรับปรุงรายวิชา
เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจในบทบาท
หน้าที่ การกำหนดวัตถุประสงค์ เทคนิคโปรแกรมการฝึกอบรมสมัยใหม่
ความตระหนักต่อหน้าที่ทางการบริหารงานบุคคล
รวมทั้งแนวคิดในการพัฒนาบุคลากรและการฝึกอบรม
|
หมวดที่ 3
ลักษณะและการดำเนินการ
1.
คำอธิบายรายวิชา
ศึกษาบทบาท
หน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่บริหารงานบุคคลโดยเฉพาะด้านการพัฒนาและการฝึกอบรม
ความจำเป็นในการพัฒนาและการฝึกอบรม การวางแผนพัฒนาและการฝึกอบรม
บรรทัดฐานของกลุ่มที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานและการเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐาน
การตั้งวัตถุประสงค์ในการฝึกอบรม การจัดโปรแกรมการฝึกอบรม
เทคนิคการฝึกอบรมแบบต่างๆ การประเมินผลการพัฒนาบุคลากรและการฝึกอบรม
ปัญหาในการพัฒนาและการฝึกอบรม
|
|||
2.
จำนวนชั่วโมงที่ใช้ต่อภาคการศึกษา
|
|||
บรรยาย
|
สอนเสริม
|
การฝึกปฏิบัติงาน/ภาคสนาม/การฝึกงาน
|
การศึกษาด้วยตนเอง
|
30 ชั่วโมง/ภาคการศึกษา
|
ตามความต้องการของนักศึกษา
|
15
|
12
ชั่วโมงต่อสัปดาห์/
|
3.
จำนวนชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่อาจารย์ให้คำปรึกษาและแนะนำทางวิชาการแก่นักศึกษาเป็นรายบุคคล
- อาจารย์ประจำรายวิชา ประกาศเวลาให้คำปรึกษาผ่านเว็บไซต์คณะ
-
อาจารย์จัดเวลา 1 ชั่วโมง
/สัปดาห์สำหรับให้คำปรึกษาแนะนำทางวิชาการแก่นักศึกษาเป็นรายบุคคล
|
หมวดที่ 4
การพัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษา
1.
คุณธรรม จริยธรรม
|
1.1 คุณธรรม
จริยธรรมที่ต้องพัฒนา
พัฒนาผู้เรียนให้มีความรับผิดชอบ มีวินัย มีจรรยาบรรณวิชาชีพ เคารพในสิทธิของข้อมูลส่วนบุคคลการไม่ลอกเลียนและไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญา มีความซื่อสัตย์
ซื่อตรงในการทำงาน การศึกษา มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม โดยมีคุณธรรมและจริยธรรมดังนี้
(1) ตระหนักในคุณค่าและคุณธรรม จริยธรรม เสียสละ และซื่อสัตย์สุจริต
(2) มีวินัย ตรงต่อเวลา และความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม
(3) มีภาวะความเป็นผู้นำและผู้ตาม สามารถทำงานเป็นทีมและสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้
(4) มีภาวะความเป็นผู้นำและผู้ตาม สามารถทำงานเป็นทีมและสามารถแก้ไขข้อขัดแย้งและลำดับความสำคัญ
(5) เคารพสิทธิและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รวมทั้งเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
(6) เคารพกฎระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ ขององค์กรและสังคม
(7) มีจรรยาบรรณทางวิชาการและวิชาชีพ
(8) ซื่อสัตย์ สุจริต
(9) เคารพ ปฏิบัติตาม กฎ ระเบียบ
(10)
มีความขยันหมั่นเพียร อดทน เอื้อเฟื้อต่อสมาชิกในการทำงาน
|
1.2 วิธีการสอน
การสอนเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีการบรรยายถึงเนื้อหาแนวคิดหลักของวิชา
ให้ผู้เรียนทำการค้นคว้า หรือทำความเข้าใจประเด็นปลีกย่อยด้วยตนเอง เน้น
เพื่อให้ผู้เรียนได้มีการฝึกฝนทักษะด้านต่าง ๆ รู้จักวิเคราะห์และแก้ปัญหาด้วยตนเอง มีการพัฒนาค้นหาความรู้แล้วมาเสนอเพื่อสร้างทักษะในการจัดทำโครงการฝึกอบรม การจำลองสถานการณ์ในการจัดการฝึกอบรม การเรียนการสอนจะแทรกเนื้อหา/กิจกรรมที่ส่งเสริมด้านคุณธรรม จริยธรรม ทั้งนี้
ได้นำรูปแบบการเรียนการสอนแบบต่างๆเพื่อทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการเรียนรู้ ทักษะในการคิดอย่างมีระบบ
และการแก้ปัญหา มีความรู้ในเรื่องที่ตนเองสนใจ มีทักษะในการจัดการฝึกอบรมโดยใช้เทคนิค
โปรแกรม แบบการประเมินผลการฝึกอบรม ทักษะการใช้ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรมในตนเอง
วิชาชีพและสังคม
|
1.3 วิธีการประเมินผล
(1) นักศึกษาประเมินการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยใช้แบบสอบถามมาตรฐานที่วัดคุณธรรมจริยธรรม
(2) ประเมินโดยสังเกตพฤติกรรมและการแสดงออกระหว่างการอภิปรายโดยมีการบันทึกผลการประเมินหลักฐานแจ้งให้นักศึกษาทราบด้วยทุกครั้ง
(3) ประเมินความซื่อสัตย์จากการพูดคุย ปรึกษาหารือและร่วมสดงความคิดเห็นกับเพื่อนร่วมงานและผู้เกี่ยวข้อง
|
2.
ความรู้
เชื่อมโยงความรู้ทางทฤษฎีกับการประยุกต์ให้เกิดผลต่อความเข้าใจกระบวนการ การฝึกอบรมและสามารถ
มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต และเพื่อเป็นพื้นฐานไปสู่การเรียนรู้ในวิชาอื่นๆที่เกี่ยวข้องและเป็นพื้นฐานในการศึกษาในระดับสูงต่อไป
|
2.1 ความรู้ที่ต้องได้รับ
1. มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับแนวความคิดที่สำคัญในเนื้อหาวิชาที่ศึกษา
2. มีทักษะทางปัญญาทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบสามารถใช้ความรู้
ในประเด็นที่เหมาะสม มีความรับผิดชอบในการกระทำของตนเองและรับผิดชอบงานในกลุ่ม
3. มีทักษะการวิเคราะห์
การสื่อสาร วิเคราะห์ปัญหา เข้าใจและอธิบาย
รวมทั้งประยุกต์ความรู้ทักษะที่เหมาะสมเพื่อวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา
4. สามารถบูรณาการความรู้ในที่ศึกษากับความรู้ในศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาใช้ประโยชน์ในเชิงวิชาการและปฏิบัติ
5. เข้าใจในบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และปฏิบัติหน้าที่ได้ถูกต้อง
|
2.2 วิธีการสอน
(1) บรรยาย อภิปราย การทำงานกลุ่ม การนำเสนอโครงการ การจำลองการฝึกอบรม โดย การศึกษาโดยใช้ปัญหา Problem-based Learning และ เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
(2) บอกถึงแหล่งข้อมูลเพื่อให้นักศึกษาได้ค้นคว้าข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
(3) จัดประชุม แบ่งงาน ติดตามงาน เป็นระยะเวลาที่กำหนด หรือตามความเหมาะสม
(4) จัดทำรายงานผลวิเคราะห์ความต้องการ และนำเสนอ
|
2.3 วิธีการประเมิน
(1)ทดสอบย่อย สอบกลางภาค สอบปลายภาค ด้วยข้อสอบที่เน้นการวัดหลักการ ทฤษฎี
และประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนรู้ ประเมินจากการนำเสนอผลการค้นคว้าข้อมูล หรือโจทย์จาก Problem-based Learning
(2) ประเมินผลจากผลงานที่ได้รับมอบหมาย ตามหัวข้อที่กำหนด
(3) ประเมินจากการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และการได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานหรือผู้เกี่ยวข้อง
|
3.
ทักษะทางปัญญา
พัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีการคิดอย่างเป็นระบบ มีการวิเคราะห์ ประยุกต์แนวคิดกับการปฏิบัติได้จริง
สามารถเสนอแนะกระบวนการ วิธีการพัฒนา กระบวนการแก้ไขปัญหาในการพัฒนาบุคลากรและการฝึกอบรมได้เป็นอย่างดี
|
3.1 ทักษะทางปัญญาที่ต้องพัฒนา
(1) ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและอย่างเป็นระบบ
(2) ความสามารถสืบค้น ตีความ และประเมินสารสนเทศ เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหา
(3) ความสามารถรวบรวม ศึกษา วิเคราะห์ และสรุปประเด็นปัญหาและความต้องการ
(4) ความสามารถประยุกต์ความรู้และทักษะกับการแก้ไขปัญหาการจัดการได้อย่างเหมาะสม
(5) ทักษะการเลือกสามารถนำความรู้ทางทฤษฎีเป็นพื้นฐานมาประยุกต์กับเหตุการณ์จริง
|
3.2 วิธีการสอน
(1) การมอบหมายโจทย์ปัญหา ให้ฝึกการค้นหาตามความต้องการ
(2) จัดทำรายงานผลวิเคราะห์ความต้องการ และนำเสนอ
(3)ประชุมร่วมกันระหว่าง อาจารย์ที่ปรึกษา และนักศึกษา
(4) มอบหมายโจทย์ปัญหา ที่เกี่ยวข้องด้านสังคมวิทยา
(5) การนำเสนอด้วยการจัดทำรายงานและ
นำเสนอร่วมกัน
|
3.3 วิธีการประเมินผล
ประเมินผลจากผลงานที่ได้รับมอบหมาย ตามที่กำหนด โดยอ้างอิงทฤษฎีในวิชาที่เกี่ยวข้อง
และควรนำมาเป็นพื้นฐานในการประยุกต์ไปสู่การปฏิบัติ
|
4.
ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ
|
4.1
ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบที่ต้องพัฒนา
(1) สามารถให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกแก่การแก้ปัญหาสถานการณ์ต่าง ๆในกลุ่มทั้งในบทบาท
ของผู้นำ หรือในบทบาทของผู้ร่วมทีมทำงาน
(2) สามารถใช้ความรู้ความเข้าใจมาประยุกต์อย่างเหมาะสม
(3) มีความรับผิดชอบในการกระทำของตนเองและรับผิดชอบงานในกลุ่ม
(4) สามารถเป็นผู้ริเริ่มแสดงประเด็นในการแก้ไขสถานการณ์ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม พร้อมทั้งแสดงจุดยืน
อย่างพอเหมาะทั้งของตนเองและของกลุ่ม
(5) มีความรับผิดชอบการพัฒนาการเรียนรู้ทั้งของตนเองและทางวิชาชีพอย่างต่อเนื่องเรียนรู้ภาวะทาง
อารมณ์ของตนเอง เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น เรียนรู้เทคนิคการขอความช่วยเหลือ หรือขอข้อมูลเพื่อนำมาประกอบการทำงาน
(6)
สามารถวางตัวในตำแหน่งงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างเหมาะสม
(7) กล้าแสดงความคิดเห็นในขอบเขตของงานและภาระหน้าที่
(8) พัฒนาตนเองจากการเรียนรู้ด้วยตนเอง และจากการฝึกอบรม หรือการสอบถามเพื่อนร่วมงาน
(9)สร้างความสัมพันธ์อันดี ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันในหน่วยงาน
|
4.2 วิธีการสอน
(1) สร้างกิจกรรมสันทนาการ ละลายพฤติกรรม เพื่อให้เกิดความรู้รัก สามัคคี พร้อมทำงานเป็นทีม
(2) มอบหมายงานที่ต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม
(3) มีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจน
มอบหมายงานที่ต้องพูดคุย ประชุมร่วมกัน เพื่อมอบหมายงาน ติดตามงาน ประเมินผล
|
4.3 วิธีการประเมินผล
(1) ประเมินจากการสังเกตพฤติกรรม จากการสัมภาษณ์ผู้ร่วมงาน หรือผู้เกี่ยวข้อง
(2)
ประเมินจากข้อมูลที่ได้รับจากที่นักศึกษาไปสัมภาษณ์
(3) ประเมินจากการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และการได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานหรือผู้เกี่ยวข้อง
|
5.
ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
|
5.1 ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข
การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ต้องพัฒนา
(1) ทักษะในการใช้เครื่องมือที่จำเป็นที่มีอยู่ในปัจจุบันต่อการค้นคว้าและนำเสนองาน
(2) ทักษะสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพทั้งปากเปล่าและการเขียน
เลือกใช้รูปแบบของสื่อการนำเสนออย่าง
เหมาะสม
(3)
ทักษะในการใช้สารสนเทศและเทคโนโลยีสื่อสารอย่างเหมาะสม
(4)
ทักษะในการใช้เทคโนโลยี เครื่องมือ อุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ ในการสื่อสารเพื่อสนับสนุนการทำงาน
เช่น การ
โต้ตอบ
แสดงความคิดเห็น ประสานการทำงาน การรับ-ส่งงาน การซักถามข้อสงสัย
(5) สามารถใช้เทคโนโลยี หรือ อินเทอร์เน็ตในการค้นคว้า
หาข้อมูลประกอบการศึกษาและการทำงาน
(6)
สามารถสื่อสารโดยใช้ภาษาที่เหมาะสม และส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพในการศึกษาและการทำงาน
|
5.2 วิธีการสอน
(1)
มอบหมายงานผ่านระบบเทคโนโลยี การใช้ทักษะด้านเทคโนโลยี ในการนำเสนอข้อมูล
(2) มอบหมายงานที่ต้องมีการสื่อสารโดยใช้ภาษาทั้งไทยและต่างประเทศ
ทั้งการพูด เขียน ในการประสาน
การทำงาน
(3)
มอบหมายงานที่ต้องใช้เทคโนโลยี ในการแก้ปัญหา หรือนำเสนองาน
|
5.3 วิธีการประเมินผล
(1)
ประเมินจากเอกสาร ที่นำเสนอโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสื่อ
(2) ประเมินจากเอกสารที่เขียน เช่น E-Mail ที่ใช้สื่อสารเพื่อการทำงาน
(3) ประเมินจากผลการแก้ปัญหาว่า โดยเน้นความถูกต้องและเหมาะสม
|
หมวดที่ 5
แผนการสอนและการประเมินผล
1.
แผนการสอน
|
||||
สัปดาห์ที่
|
หัวข้อ/รายละเอียด
|
จน.ชั่วโมง
|
กิจกรรมการเรียนการสอน/สื่อที่ใช้
|
ผู้สอน
|
1-2
|
-
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการพัฒนาบุคคลากรและการฝึกอบรม
-
การพัฒนาบุคคล
-
ทดสอบย่อย
|
(6 ชั่วโมง)
3
3
|
บรรยาย
ศึกษาจากเอกสารประกอบการสอน หนังสือ ตำรา
เวบไซด์
|
อ.ศุภวัฒน์
ปภัสสรากาญจน์
|
3-5
|
-
ความจำเป็น
วัตถุประสงค์ในการฝึกอบรม
-
เทคนิคในการฝึกอบรม
-
การวางแผนและการจัดทำโครงการฝึกอบรม
|
(9 ชั่วโมง)
3
3
3
|
บรรยาย
ศึกษาจากเอกสารประกอบการสอน
หนังสือ
ตำรา
เวบไซด์
|
อ.ศุภวัฒน์
ปภัสสรากาญจน์
|
6-8
|
-
การวางแผนละการจัดทำโครงการฝึกอบรม
-
ขั้นตอนในการฝึกอบรม
-
การประเมินผลการฝึกอบรม
-
สอบกลางภาค
|
(9 ชั่วโมง)
3
3
3
|
||
9-13
|
-
จัดสถานการณ์จำลองการฝึกอบรม
-
สรุปและประเมินผล
-
การแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการฝึกอบรม
|
(15 ชั่วโมง)
15
|
การจัดทำโครงการและ
การจำลอง
การฝึกอบรม
แบบสรุปและแบบประเมิน
การวิเคราะห์เพื่อแก้ไขปัญหาจากการฝึกอบรม
|
สัปดาห์ที่
|
หัวข้อ/รายละเอียด
|
จน.ชั่วโมง
|
กิจกรรมการเรียนการสอน/สื่อที่ใช้
|
ผู้สอน
|
14-16
|
-
สรุปประเด็นของการจัดฝึกอบรมและระดมสมอง
-
ข้อเสนอแนะในการจัดฝึกอบรมด้วยเทคนิคและวิธีการสมัยใหม่
-
Mind-Mapping Software สำหรับการฝึกอบรม
|
(9
ชั่วโมง)
3
3
3
|
บรรยาย
การระดมสมอง
การศึกษาเทคนิค
โปรแกรมการฝึกอบรมสมัยใหม่
|
|
17
|
สอบปลายภาค
|
2.
แผนการประเมินผลการเรียนรู้ (16 สัปดาห์)
|
||||
กิจกรรมที่
|
ผลการเรียนรู้*
|
วิธีการประเมิน
|
สัปดาห์ที่ประเมิน
|
สัดส่วนของการประเมิน
|
1
|
Unit 1,2
Unit 1-8
|
ทดสอบย่อยครั้งที่ 1
สอบกลางภาค
สอบปลายภาค
|
2
8
17
|
10%
30%
30%
|
2
|
Unit 4-9
|
การจัดทำโครงการ
แบบประเมินและ
การจัดสถานการณ์จำลองในการฝึกอบรม
การทำงานกลุ่มและผลงาน
การระดมสมอง
|
9-13
|
30%
|
3
|
Unit 1-2
Unit 1-8
|
-
แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวิชา
-
การประยุกต์แนวคิด
|
2
8
|
10%
30%
|
หมวดที่ 6
ทรัพยากรประกอบการเรียนการสอน
1.
เอกสารและตำรา
เอกสาร Mind Map,
2548 , การพัฒนาทรัพยากรบุคคลมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
รวบรวมใน,
Rotoratuk.Blogspot.com,
website Index; Trainning and Personnel Development.
(ศุภวัฒน์
ปภัสสรากาญจน์ เจ้าของเว็บไซด์)
เอกสารประกอบการพัฒนาบุคลากรและการฝึกอบรม,
2554, http://www.tu.ac.th/org/
ofrector/person/train/handbook/training.html:
รวบรวมใน Rotoratuk. Blogspot.
com, website Index; Trainning and Personnel Development.
(ศุภวัฒน์ ปภัสสรากาญจน์
เจ้าของเว็บไซด์)
William J. Rothwell,
John E.Lindholm, William G. Wallick , 2003, What CEOs Expect from
Corporate
Training, American Management Association, USA.
|
2.
เอกสารและข้อมูลสำคัญ
ไม่มี
|
3.
เอกสารและข้อมูลแนะนำ
http:// www.rotoratuk.blogspot.com(ศุภวัฒน์ ปภัสสรากาญจน์ เจ้าของเว็บไซด์) Website Index
Trainning and Personnel Development (เอกสารเพื่อการเรียนการสอน)
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/person/train/handbook/training.html
http://drsunti.multiply.com
|
หมวดที่ 7
การประเมินและปรับปรุงการดำเนินการของรายวิชา
1.
กลยุทธ์การประเมินประสิทธิผลของรายวิชาโดยนักศึกษา
การประเมินประสิทธิผลในรายวิชานี้ ที่จัดทำโดยนักศึกษา ได้จัดกิจกรรมในการนำแนวคิดและความเห็นจากนักศึกษาได้ดังนี้
- การสนทนากลุ่มระหว่างผู้สอนและผู้เรียน
- แบบประเมินผู้สอน และแบบประเมินรายวิชา
-
ข้อเสนอแนะผ่านเวบบอร์ด ที่อาจารย์ผู้สอนได้จัดทำเป็นช่องทางการสื่อสารกับนักศึกษา
|
2.
กลยุทธ์การประเมินการสอน
ในการเก็บข้อมูลเพื่อประเมินการสอน ได้มีกลยุทธ์ ดังนี้
- การสังเกตการณ์สอนของผู้ร่วมทีมการสอน
- ผลการเรียนของนักศึกษา
-
การทวนสอบผลประเมินการเรียนรู้
|
3. การปรับปรุงการสอน
หลังจากผลการประเมินการสอนในข้อ 2 จึงมีการปรับปรุงการสอน โดยการจัดกิจกรรมในการระดมสมอง และหาข้อมูลเพิ่มเติมในการปรับปรุงการสอน ดังนี้
- สัมมนาการจัดการเรียนการสอน
-
การวิจัยในและนอกชั้นเรียน
|
4.
การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาในรายวิชา
ในระหว่างกระบวนการสอนรายวิชา
มีการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ในรายหัวข้อ ตามที่คาดหวังจากการ
เรียนรู้ในวิชา ได้จาก
การสอบถามนักศึกษา หรือการสุ่มตรวจผลงานของนักศึกษา รวมถึงพิจารณาจาก
การทดสอบย่อย และหลังการออกผลการเรียนรายวิชา
มีการทวนสอบผลสัมฤทธิ์โดยรวมในวิชาได้ดังนี้
- การทวนสอบการให้คะแนนจากการสุ่มตรวจผลงานของนักศึกษาโดยอาจารย์อื่น
หรือ
ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ไม่ใช่อาจารย์ประจำหลักสูตร
- มีการตั้งคณะกรรมการในสาขาวิชา
ตรวจสอบผลการประเมินการเรียนรู้ของนักศึกษา โดย
ตรวจสอบข้อสอบ รายงาน
วิธีการให้คะแนนสอบ และการให้คะแนนพฤติกรรม
|
5.
การดำเนินการทบทวนและการวางแผนปรับปรุงประสิทธิผลของรายวิชา
จากผลการประเมิน และทวนสอบผลสัมฤทธิ์ประสิทธิผลรายวิชา
ได้มีการวางแผนการปรับปรุงการ
สอนและรายละเอียดวิชา
เพื่อให้เกิดคุณภาพมากขึ้น ดังนี้
- ปรับปรุงรายวิชาทุก
3 ปี หรือตามข้อเสนอแนะและผลการทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ตามข้อ
4
- เปลี่ยนหรือสลับอาจารย์ผู้สอน
เพื่อให้นักศึกษามีมุมมองในเรื่องการประยุกต์ความรู้นี้กับปัญหาที่มา
จากงานวิจัยของอาจารย์ต่าง
ๆ
|
เอกสารชุดที่ 1(ใช้เพื่อการศึกษา)
ไม่ปรากฏชื่อผู้เขียน ลิงค์ติดต่อ
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/person/train/handbook/training.html
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/person/train/handbook/training.html
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
เอกสารชุดที่ 2
หนังสืออ้างอิง : William J. Rothwell, John E.Lindholm,
William G. Wallick , 2003, What CEOs Expect from Corporate Training, American
Management Association, USA.
ดร. อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์ หนึ่งในนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดขึ้นประจำปี 2550 –
การฝึกอบรมและการพัฒนาทรัพยากรบุคคลแตกต่างกันอย่างไร
จากกระแสการพัฒนาบุคลากรที่มีการกล่าวถึงกันมากโดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจตกสะเก็ดเช่นนี้ เทรนการพัฒนาบุคลากรถือได้ว่าเป็นหนึ่งในกระแสที่ยังไม่ตกยุคซึ่งองค์การต่างให้ความสำคัญมากขึ้นในทุกวันนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อกล่าวถึงคำว่าการพัฒนาบุคลากร มีผู้บริหารหลายคนมักสับสนว่าเป็นเรื่องเดียวกับการฝึกอบรมหรือไม่ หากถามว่าการฝึกอบรม หรือ Training เป็นเรื่องเดียวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development : HRD) หรือไม่ พบว่าการฝึกอบรมและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่เป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ซึ่งศาสตร์ด้านการฝึกอบรมนั้นจะเกิดขึ้นมาก่อนมากกว่า 60 ปี โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาตัวบุคคลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในปัจจุบัน แต่การฝึกอบรมนั้นไม่ใช่เครื่องมือที่จะแก้ไขปัญหาความไม่พึงพอใจในการทำงานอันเป็นผลมาจากการมีผลตอบแทนที่ได้รับลดลง หรือเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาความไม่พึงพอใจที่มีต่อระบบการทำงาน และเครื่องมือ (Tools) ต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในองค์การ จะเห็นได้ว่าการฝึกอบรมเป็นเครื่องมือที่ถูกออกแบบเพื่อการเรียนรู้ระยะสั้น โดยเน้นไปที่การปรับปรุงและการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานปัจจุบัน ทั้งนี้การฝึกอบรมจะนำมาประยุกต์ใช้สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะอย่างที่แตกต่างกันไป เช่น การจัดอบรมปฐมนิเทศพนักงานใหม่ การฝึกอบรมพนักงานที่จะต้องรับผิดชอบงานโครงการเฉพาะอย่าง เป็นต้น พบว่าการฝึกอบรมจะมีแนวคิดและหลักปฏิบัติที่แตกต่างไปจากแนวคิดของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในแง่มุมของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้นเป็นเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อการบริหารการเปลี่ยนแปลงในองค์การและการสร้างความเจริญก้าวหน้าในสายอาชีพให้กับพนักงาน ทั้งนี้การพัฒนาหรือ Development นั้นจะมุ่งเน้นไปที่การกำหนด การสนับสนุน และการช่วยให้พนักงานมีโอกาสเจริญเติบโตในหน้าที่การงาน ซึ่งแนวคิดของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้นจะช่วยทำให้พนักงานเป็นนักบริหารงานที่เก่ง (Work Smarter) มากกว่าการเป็นบุคคลที่มุ่งแต่ทำงานหนักเท่านั้น (Work Harder) (Rothwell และทีมงาน, 2003) หากเปรียบเทียบความแตกต่างกันระหว่าง Training และ HRD แล้ว พบว่า Rothwell และทีมงาน (2003) ได้กล่าวถึงแนวคิดและหลักปฏิบัติของคำสองคำนี้แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
ในแง่มุมจากประสบการณ์ของผู้เขียน
ผู้เขียนมองว่าการฝึกอบรมและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้นมีนัยที่เหมือนและแตกต่างกัน
ดังต่อไปนี้
นัยที่เหมือนกัน – เป็นแนวคิดในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน เพื่อให้พนักงานมีความรู้ และความสามารถในการบริหารงานที่ได้รับมอบหมายให้บรรลุเป้าหมายตามที่ผู้บังคับบัญชาคาดหวังและต้องการ นัยที่แตกต่างกัน – การฝึกอบรมเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ระยะสั้น มีระยะเวลาและสถานที่ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน การฝึกอบรมมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้ (Knowledge) มากกว่าเป็นการฝึกทักษะ (Skill) ในการทำงาน พบว่าผู้ที่รับผิดชอบบริหารงานการฝึกอบรมให้กับพนักงานในองค์การก็คือ หน่วยงานที่ดูแลงานบุคลากรของบริษัท อาจจะจัดตั้งเป็นฝ่ายหรือแผนกขึ้น แต่สำหรับแนวคิดของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้นจะเป็นการพัฒนาความรู้ ทักษะ และทัศนคติของพนักงานให้ดีขึ้น โดยมุ่งเน้นให้เกิดผลระยะยาวในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตัวบุคคล ทีมงาน และองค์การ พบว่าผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ก็คือ หัวหน้างานในแต่ละหน่วยงาน รวมถึงหน่วยงานที่ดูแลงานบุคลากรของบริษัท
สรุปว่า
เครื่องมือที่ถูกออกแบบและนำมาใช้เพื่อพัฒนาความสามารถและประสิทธิภาพของการทำงานของพนักงานนั้น
มิใช่เป็นเพียงแค่การฝึกอบรมที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะต้องรับผิดชอบเท่านั้น
ยังมีอีกเครื่องมือหนึ่งที่นอกเหนือจากการฝึกอบรมนั่นก็คือ
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ถูกนำมาใช้โดยผู้บังคับบัญชาโดยตรงจะต้องเป็นบุคคลที่มีหน้าที่ในการนำเครื่องมือต่าง
ๆ ของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มาใช้ในการปรับปรุง
การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานที่เชื่อมโยงผลผลิตที่เกิดขึ้นของพนักงานต่อเนื่องไปยังผลผลิตของทีมงาน
หน่วยงาน และผลผลิตขององค์การในที่สุด
*************************************
|
องค์ประกอบของการพัฒนาบุคลากร (Human Resources
Development)
การบริหารบุคลากรที่ประสบความสำเร็จจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจถึงองค์ประกอบหรือฟังก์ชั่นหลัก
ๆ ของการพัฒนาบุคลากร
เนื่องจากผู้บริหารรวมถึงนักบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์บางคนยังเข้าใจผิดคิดว่างานพัฒนาบุคลากรก็คืองานฝึกอบรม
โดยมีหน่วยงานบุคคลทำหน้าที่ในการจัดฝึกอบรม ติดตาม
และประเมินผลความสำเร็จของการพัฒนาบุคลากรในองค์การ ซึ่งผู้บริหารระดับ CEO มักจะมีคำถามอยู่เสมอว่า
“จัดฝึกอบรม
แล้วพนักงานจะพัฒนาขีดความสามารถขึ้นมาบ้างหรือไม่”
ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันว่า องค์ประกอบของการพัฒนาบุคลากรมิใช่มีเพียงแค่การฝึกอบรมเท่านั้น พบว่ามีนักวิชาการจำนวนมากได้ศึกษาถึงแนวคิดและองค์ประกอบของการพัฒนาบุคลากร ซึ่งผู้เขียนขอนำเสนอหลักการพิจารณาถึงองค์ประกอบของการพัฒนาบุคลากรจากแนวคิดของ Jerry W. Gilley, Steven A. Eggland และ Ann Maycunich Gilley ในหนังสือ Principle of Human Resource Development โดยแบ่งองค์ประกอบของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยใช้มิติทางด้านจุดเน้น (Focus) และมิติด้านผลลัพธ์ (Results) เป็นปัจจัยที่กำหนดกรอบการพัฒนา ดังต่อไปนี้
ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันว่า องค์ประกอบของการพัฒนาบุคลากรมิใช่มีเพียงแค่การฝึกอบรมเท่านั้น พบว่ามีนักวิชาการจำนวนมากได้ศึกษาถึงแนวคิดและองค์ประกอบของการพัฒนาบุคลากร ซึ่งผู้เขียนขอนำเสนอหลักการพิจารณาถึงองค์ประกอบของการพัฒนาบุคลากรจากแนวคิดของ Jerry W. Gilley, Steven A. Eggland และ Ann Maycunich Gilley ในหนังสือ Principle of Human Resource Development โดยแบ่งองค์ประกอบของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยใช้มิติทางด้านจุดเน้น (Focus) และมิติด้านผลลัพธ์ (Results) เป็นปัจจัยที่กำหนดกรอบการพัฒนา ดังต่อไปนี้
จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบของการพัฒนาบุคลากรทั้ง 4 เรื่องนี้ เครื่องมือที่สำคัญที่ทำให้การบริหารบุคลากร ในทุก ๆ
เรื่องประสบความสำเร็จก็คือ ขีดความสามารถ (Competency) ที่องค์การหลาย
ๆ แห่งมีการกำหนดขึ้น หรือองค์การหลาย ๆ
แห่งมีแผนที่จะกำหนดขีดความสามารถของแต่ละตำแหน่งงานขึ้นมาด้วยเช่นกัน ซึ่ง Competency ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือการบริหาร (Management Tools) ที่นำมาใช้ได้ทั้งการพัฒนารายบุคคล การพัฒนาสายอาชีพของพนักงาน
การบริหารผลการดำเนินงาน และการพัฒนาองค์กร สำหรับในแง่มุมของการพัฒนารายบุคคล Competency จะถูกนำมาใช้เพื่อประเมินดูว่าพนักงานแต่ละคนมีขีดความสามารถใดที่เป็นจุดแข็ง
(Strength) และขีดความสามารถใดที่เป็นจุดอ่อน (Weakness)
โดยผู้บังคับบัญชาจะต้องเลือกขีดความสามารถที่จะต้องพัฒนาว่าควรจะเป็นเรื่องใด
หลังจากนั้นจึงกำหนดเครื่องมือที่จะนำมาใช้ในการพัฒนา
ซึ่งเครื่องมือที่ผู้บริหารควรตระหนักถึงก็คือ เครื่องมือที่มิใช่การฝึกอบรมในห้องเรียนเท่านั้น
เครื่องมือการพัฒนาขีดความสามารถของพนักงานมีจำนวนมาก อาทิเช่น การสอนงาน (Coaching)
การเป็นพี่เลี้ยง (Mentoring) การมอบหมายงานที่ยากและท้าทาย
(Job Enrichment) การเพิ่มปริมาณงาน (Job
Enlargement) การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self Learning) การทำให้ดูเป็นตัวอย่าง (Job Shadowing) เป็นต้น
นอกจากนี้ Competency ยังถูกนำมาใช้ในเรื่องการพัฒนาสายอาชีพ นั่นก็คือ การกำหนดผังความก้าวหน้าในสายอาชีพ (Career Path) ที่ไม่ใช่การเลื่อนตำแหน่งงาน (Promotion) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ความก้าวหน้าในสายอาชีพจะรวมไปถึงการโอนย้ายงาน (Job Transfer) ซึ่ง Competency จะใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาความพร้อมว่าพนักงานคนนั้นมีศักยภาพเพียงพอที่จะเลื่อนตำแหน่งงานและโอนย้ายงานได้หรือไม่ และหากพนักงานมีขีดความสามารถไม่พร้อม สิ่งที่ผู้บริหารจะต้องดำเนินการต่อ นั่นก็คือ การจัดทำแผนพัฒนาศักยภาพของพนักงานเป็นรายบุคคล และนอกจากการจัดทำผังความก้าวหน้าในสายอาขีพแล้ว การจัดทำแผนพัฒนาคนเก่งและคนดี (Talent Management) ยังเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญของการพัฒนาสายอาชีพที่องค์การหลายแห่งเริ่มตระหนักถึงความสำคัญ และได้เริ่มสรรหาคนเก่งและคนดีในองค์การ เพื่อที่ว่าองค์การจะได้หาวิธีการในการจูงใจและรักษาบุคลากรเหล่านี้ให้อยู่ในองค์การได้นานที่สุด ซึ่งบุคคลเหล่านี้ที่องค์การได้มีการเตรียมให้เป็นผู้สืบทอดทายาทหรือผู้สืบทอดตำแหน่งงาน (Successors) สำหรับตำแหน่งงานระดับบริหารต่อไป
การบริหารผลการปฏิบัติงาน (Performance Management) เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ ซึ่ง Competency จะถูกนำมาใช้เป็นปัจจัยหนึ่งในการวัดและประเมินผลการทำงานของพนักงานในปัจจุบัน โดยการประเมินพฤติกรรมของพนักงานว่าพนักงานมีการแสดงออกในพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาคาดหวังมากน้อยแค่ไหนบ้าง ระดับการประเมินนั้นจะเน้นไปที่การประเมินความถี่หรือความบ่อยครั้งที่เกิดขึ้นของแต่ละพฤติกรรมที่ต้องการ ซึ่งผู้บังคับบัญชาจะรับรู้ถึงความถี่ในการแสดงพฤติกรรมของพนักงานได้ก็ต่อเมื่อผู้บังคับบัญชาจะต้องสังเกตพฤติกรรมและจดบันทึกเหตุการณ์หลัก ๆ (Critical Incidents) ที่สะท้อนถึงพฤติกรรมของพนักงานแต่ละครั้ง ด้วยการทำสมุดบันทึกพฤติกรรม ซึ่งภาครัฐมีการกำหนดให้ข้าราชการจัดทำสมุดบันทึกความดีราชการ ซึ่งถือได้ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีที่กระตุ้นให้องค์การอื่นๆ เริ่มมีการจัดทำสมุดบันทึกพฤติกรรมของพนักงานดังเช่นหน่วยงานราชการที่มีการนำมาใช้ปฏิบัติ
สำหรับองค์ประกอบสุดท้ายของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ก็คือ การพัฒนาองค์การ (Organization Development)ที่เน้นการนำเครื่องมือด้านการบริหารบุคลากรมาใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในองค์การ เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์การตามแบบอย่างที่ผู้บริหารต้องการ ซึ่ง Competency จะถูกนำมาใช้เป็นกลไกขับเคลื่อนให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั่วทั้งองค์การ แนวคิดของการพัฒนาองค์การถือได้ว่านำองค์ประกอบต่าง ๆ ของการพัฒนาบุคลากรมาบูรณาการเข้าด้วยกัน เนื่องจากองค์การจะพัฒนาไปได้นั้นก็ต่อเมื่อองค์การจะต้องมีการพัฒนาพนักงานแต่ละคน การรักษาพวกเขาไว้ด้วยการพัฒนาสายอาชีพของพนักงานอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารผลการปฏิบัติงานเพื่อสร้างความยุติธรรมในการประเมินผลงาน
สรุปว่าการพัฒนาบุคลากรถือได้ว่าเป็นแผนงานที่สำคัญที่องค์การหลาย ๆแห่งได้กำหนดเป็นกลยุทธ์ธุรกิจขึ้นมา ประเด็นอยู่ที่ว่าการมุ่งเน้นในแต่ละองค์ประกอบของแต่ละองค์การไม่เหมือนกัน ซึ่งงานที่สำคัญที่องค์การจะต้องคำนึงถึงก็คือ การวิเคราะห์ปัญหาว่าอะไรคือสิ่งที่องค์การต้องการ เพื่อที่ว่าองค์การจะได้มุ่งเน้นไปที่องค์ประกอบของการพัฒนาบุคลากรให้ถูกจุดและถูกที่
นอกจากนี้ Competency ยังถูกนำมาใช้ในเรื่องการพัฒนาสายอาชีพ นั่นก็คือ การกำหนดผังความก้าวหน้าในสายอาชีพ (Career Path) ที่ไม่ใช่การเลื่อนตำแหน่งงาน (Promotion) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ความก้าวหน้าในสายอาชีพจะรวมไปถึงการโอนย้ายงาน (Job Transfer) ซึ่ง Competency จะใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาความพร้อมว่าพนักงานคนนั้นมีศักยภาพเพียงพอที่จะเลื่อนตำแหน่งงานและโอนย้ายงานได้หรือไม่ และหากพนักงานมีขีดความสามารถไม่พร้อม สิ่งที่ผู้บริหารจะต้องดำเนินการต่อ นั่นก็คือ การจัดทำแผนพัฒนาศักยภาพของพนักงานเป็นรายบุคคล และนอกจากการจัดทำผังความก้าวหน้าในสายอาขีพแล้ว การจัดทำแผนพัฒนาคนเก่งและคนดี (Talent Management) ยังเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญของการพัฒนาสายอาชีพที่องค์การหลายแห่งเริ่มตระหนักถึงความสำคัญ และได้เริ่มสรรหาคนเก่งและคนดีในองค์การ เพื่อที่ว่าองค์การจะได้หาวิธีการในการจูงใจและรักษาบุคลากรเหล่านี้ให้อยู่ในองค์การได้นานที่สุด ซึ่งบุคคลเหล่านี้ที่องค์การได้มีการเตรียมให้เป็นผู้สืบทอดทายาทหรือผู้สืบทอดตำแหน่งงาน (Successors) สำหรับตำแหน่งงานระดับบริหารต่อไป
การบริหารผลการปฏิบัติงาน (Performance Management) เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ ซึ่ง Competency จะถูกนำมาใช้เป็นปัจจัยหนึ่งในการวัดและประเมินผลการทำงานของพนักงานในปัจจุบัน โดยการประเมินพฤติกรรมของพนักงานว่าพนักงานมีการแสดงออกในพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาคาดหวังมากน้อยแค่ไหนบ้าง ระดับการประเมินนั้นจะเน้นไปที่การประเมินความถี่หรือความบ่อยครั้งที่เกิดขึ้นของแต่ละพฤติกรรมที่ต้องการ ซึ่งผู้บังคับบัญชาจะรับรู้ถึงความถี่ในการแสดงพฤติกรรมของพนักงานได้ก็ต่อเมื่อผู้บังคับบัญชาจะต้องสังเกตพฤติกรรมและจดบันทึกเหตุการณ์หลัก ๆ (Critical Incidents) ที่สะท้อนถึงพฤติกรรมของพนักงานแต่ละครั้ง ด้วยการทำสมุดบันทึกพฤติกรรม ซึ่งภาครัฐมีการกำหนดให้ข้าราชการจัดทำสมุดบันทึกความดีราชการ ซึ่งถือได้ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีที่กระตุ้นให้องค์การอื่นๆ เริ่มมีการจัดทำสมุดบันทึกพฤติกรรมของพนักงานดังเช่นหน่วยงานราชการที่มีการนำมาใช้ปฏิบัติ
สำหรับองค์ประกอบสุดท้ายของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ก็คือ การพัฒนาองค์การ (Organization Development)ที่เน้นการนำเครื่องมือด้านการบริหารบุคลากรมาใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในองค์การ เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์การตามแบบอย่างที่ผู้บริหารต้องการ ซึ่ง Competency จะถูกนำมาใช้เป็นกลไกขับเคลื่อนให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั่วทั้งองค์การ แนวคิดของการพัฒนาองค์การถือได้ว่านำองค์ประกอบต่าง ๆ ของการพัฒนาบุคลากรมาบูรณาการเข้าด้วยกัน เนื่องจากองค์การจะพัฒนาไปได้นั้นก็ต่อเมื่อองค์การจะต้องมีการพัฒนาพนักงานแต่ละคน การรักษาพวกเขาไว้ด้วยการพัฒนาสายอาชีพของพนักงานอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารผลการปฏิบัติงานเพื่อสร้างความยุติธรรมในการประเมินผลงาน
สรุปว่าการพัฒนาบุคลากรถือได้ว่าเป็นแผนงานที่สำคัญที่องค์การหลาย ๆแห่งได้กำหนดเป็นกลยุทธ์ธุรกิจขึ้นมา ประเด็นอยู่ที่ว่าการมุ่งเน้นในแต่ละองค์ประกอบของแต่ละองค์การไม่เหมือนกัน ซึ่งงานที่สำคัญที่องค์การจะต้องคำนึงถึงก็คือ การวิเคราะห์ปัญหาว่าอะไรคือสิ่งที่องค์การต้องการ เพื่อที่ว่าองค์การจะได้มุ่งเน้นไปที่องค์ประกอบของการพัฒนาบุคลากรให้ถูกจุดและถูกที่
กลยุทธ์ด้านการพัฒนาและฝึกอบรม
เขียนโดย หิรัญ พบลาภ
หลักการพื้นฐาน
หน่วยงานรับผิดชอบงานด้านการพัฒนา การเรียนรู้และฝึกอบรมบุคลากรขององค์กร จะถูกตั้งคำถามอยู่เสมอว่า จัดฝึกอบรมไปแล้ว จะทราบได้อย่างไรว่าคุ้มกับเงินที่ลงทุนไปหรือไม่ พนักงานมีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นหรือไม่ คำถามเหล่านี้ยังเป็นปัญหาคาใจของหลายๆ คน โดยเฉพาะผู้บริหาร ยิ่งองค์กรใดทำระบบ ISO ด้วยแล้ว รับรองได้เลยว่าคำถามจากจากผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ และการอบรมก็จะมีมากมายตามกรอบความคิดที่ Auditor หรือ ที่ปรึกษาบางคน พาให้หลงประเด็น
หลักการพื้นฐาน
หน่วยงานรับผิดชอบงานด้านการพัฒนา การเรียนรู้และฝึกอบรมบุคลากรขององค์กร จะถูกตั้งคำถามอยู่เสมอว่า จัดฝึกอบรมไปแล้ว จะทราบได้อย่างไรว่าคุ้มกับเงินที่ลงทุนไปหรือไม่ พนักงานมีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นหรือไม่ คำถามเหล่านี้ยังเป็นปัญหาคาใจของหลายๆ คน โดยเฉพาะผู้บริหาร ยิ่งองค์กรใดทำระบบ ISO ด้วยแล้ว รับรองได้เลยว่าคำถามจากจากผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ และการอบรมก็จะมีมากมายตามกรอบความคิดที่ Auditor หรือ ที่ปรึกษาบางคน พาให้หลงประเด็น
ต้องทำความเข้าพื้นฐานว่า ถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการ เงินลงทุนไปในเรื่องใดก็ตาม
ย่อมต้องการผลตอบแทนกลับคืนมาให้มากที่สุด ดังนั้น คำถามข้างต้น
เป็นสิ่งที่นักอบรม นักพัฒนาจะต้องวิเคราะห์ ตั้งคำถามตัวเองว่า ความต้องการขององค์กรว่าคืออะไร
เพราะถ้าเราไม่มีโจทย์ หรือไม่เข้าใจโจทย์นี้แล้ว โอกาสที่เราจะไปหาคำตอบในการพัฒนา
และฝึกอบรมให้ตรงความต้องการ
และเกิดประสิทธิผลจากกิจกรรมเหล่านั้นก็จะเป็นเรื่องยาก
การทำงานทุกประเภทในองค์กรเปรียบเสมือนการทำการวิจัย
เริ่มต้นจากการกำหนดสมมติฐานขึ้นมาก่อน แล้วค่อยมาหาวิธีการ เครื่องมือการจัดการ
หรือสูตรสำหรับการตอบสมมติฐานนั้นๆ แนวคิดเชิงกลยุทธ์ที่องค์กรต้องพิจารณา คือ
1. การฝึกอบรม หรือพัฒนาคน ที่มีประสิทธิภาพทำกันได้อย่างไร ประสิทธิภาพของการพัฒนาและฝึกอบรม
คือ มีความคุ้มค่า มั่นใจได้ว่ากระบวนการในการพัฒนาและฝึกอบรมนั้นมีมาตรฐาน
มีความน่าเชื่อถือ รวมถึงมีความเหมาะสมสถานการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงไป
2. ทำอย่างไรจึงจะให้คนมีความรู้ ความสามารถเพิ่มขึ้น ทำอย่างไรให้สามารถวัดผล
เพื่อยืนยันได้ว่าคนมีความสามารถเพิ่มขึ้นจริง และเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด
ไม่ใช่แค่ทำแบบทดสอบ คนที่จำเก่ง ก็ทำ post test ได้คะแนนมาก
แล้วนำมาสรุปง่ายๆ ว่า คนเรียนมีความรู้เพิ่มมากขึ้น
รวมถึงต้องสร้างความมั่นใจได้ว่าความรู้ความสามารถที่เพิ่มขึ้นนั้นจะยั่งยืนได้อย่างไร
ไม่ลืมเลือน เมื่อเวลาผ่านไป ( เช่น มีระบบการทบทวน หรือให้เขานำไปปฏิบัติจริง
และสอนคนอื่นต่อ เป็นต้น)
3. ความสามารถที่เพิ่มขึ้นนั้น
จะนำไปสร้างผลงานให้กับองค์กรได้อย่างไร ทราบได้ว่าอย่างไรว่าผลของการอบรม
หรือพัฒนาคน ความสามารถคนที่เพิ่มขึ้นนั้นมีความสัมพันธ์กับผลงานขององค์กร
การสร้างตัววัดที่เชื่อมโยงกันได้ว่า คนฝึกอบรมดีและคนมีความสามารถเพิ่มขึ้นแล้ว
จะสามารถทำผลงานขององค์กรให้มีแนวโน้มที่ดีตามไปด้วย เช่น อบรม อบรมพนักงานขายแล้ว
ยอดขายเพิ่มขึ้น อบรมพนักงาน QC แล้วลดปัญหาคุณภาพที่เกี่ยวข้องได้
แต่ต้องระวังปัจจัยลวง ปัจจัยเสริมอื่นๆ ที่จะทำให้เข้าใจผิดว่า อบรมแล้ว
ผลงานดีขึ้น
4. ตัววัดความสำเร็จของการอบรมและพัฒนา ที่ชัดเจน คืออะไร
คำตอบสุดท้ายที่องค์กรต้องการจากการพัฒนาและฝึกอบรม ก็คือ การทำให้คนมีความรู้
ความสามารถเพิ่มขึ้น และนำไปใช้ประโยชน์แก่องค์กร และสามารถเพิ่มมูลค่าในของได้
ตัวชี้วัดต้องสื่อให้เห็นประเด็นหลักเหล่านี้ได้
ทางที่ควรจะเป็น อาจจะเริ่มจากการเก็บสถิติ
ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมย้อนหลัง ให้พิจารณาดูว่าเป็นจำนวนเท่าไร
เปรียบเทียบกับประสิทธิภาพของคนในองค์กรดูว่าเป็นอย่างไร เพิ่มขึ้นหรือลดลง
รวมถึงประสิทธิผลของคนต่อองค์กรสามารถดูได้จาก รายได้ต่อหัว
หรือต้นทุนคนต่อหน่วยสินค้า ลองวิเคราะห์หลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่งที่พอเห็นภาพ เช่น
หลักสูตรภาษาอังกฤษ องค์กรอาจจะจัดฝึกอบรมหลักสูตรนี้ให้กับพนักงาน มามากมาย
หากลองวิเคราะห์กันดีๆ แล้ว อาจจะพบว่าหลักสูตรนี้มีการจัดทุกปี
มีการทดสอบเพื่อวัดระดับ ก่อนจัดชั้นเรียน ถึงกระนั้นก็พบว่า ที่ผ่านๆ
มาเราจัดหลักสูตรเรียนภาษาอังกฤษอยู่ในระดับเดิมๆ
คนที่เรียนก็มักจะเป็นคนกลุ่มเดิมๆ
ผลเป็นอย่างนี้แล้วเราคิดว่าประสิทธิผลการจัดหลักสูตรอยู่ที่ใด นั่น
คือตัวอย่างการวิเคราะห์แบบง่ายๆ
แน่นอนว่าองค์กรที่มีระบบ
(เช่น ระบบ ISO) มักจะมีการสำรวจความต้องการในการฝึกอบรม
(training
needs survey) เพื่อนำมาใช้ในการจัดทำแผนการฝึกอบรมประจำปี (training
master plan ; TMP) ข้อดีบางประการที่พอมีอยู่บ้าง
แต่อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ต้องการขององค์กร หากพิจารณากันให้ลึกๆ ดีแล้ว
จะพบว่าการสำรวจความต้องการนี้จริงๆแล้วไม่ใช่เป็นการสำรวจ “ความจำเป็น (must to know)” ในการฝึกอบรม
ของตำแหน่งงาน แต่เป็นการสำรวจ “ความอยาก (nice to know)” ในการฝึกอบรมของหัวหน้าหน่วยงาน มากกว่า
เพราะสิ่งที่ได้มาส่วนมากเกิดจากความรู้สึกของหัวหน้า
มากกว่าการคิดเชิงวิเคราะห์ว่า งานใด ในตำแหน่งอะไร ที่จำเป็นต้องฝึกอบรมจริงๆ
หากขาดซึ่งความรู้นั้นแล้ว งานจะดำเนินไปอย่างไม่มีคุณภาพ
และต้องแยกแยะให้ออกกับการฝึกอบรมเสริม ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์
เป้าหมายในการพัฒนาคน ในองค์กรอาจจะแตกต่างกันไป
ขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละองค์กร แต่ไม่ว่าจะเป็นสายงานใด องค์กรไหน
การกำหนดเป้าหมายการพัฒนาและฝึกอบรมจะต้องสอดคล้องและสนับสนุนกับวิสัยทัศน์
ภารกิจและเป้าหมายหลักขององค์กรด้วย เช่น
หากเราต้องการเป็นองค์กรที่สร้างคุณภาพทั่วทั้งองค์กร ก็ต้องสร้างคนทุกคน
ทุกระดับให้มีคุณภาพในตัวเองก่อน หรือหากองค์กรต้องการเป็นผู้นำระดับโลก
แต่เราพัฒนาคนให้มีแนวคิดอยู่แค่เพียงระดับท้องถิ่น ก็คงไม่สอดรับกัน
การกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์นี้
ถือเป็นกรอบที่จะทำให้เราเห็นว่าเราจะต้องดำเนินการในขั้นตอนต่อไปอย่างไรจึงจะสอดคล้องกับเป้าหมายที่กำหนดไว้
อาจจะกำหนดในมุมกว้าง หรือเฉพาะเจาะจงในธุรกิจก็ได้ เช่น ในเชิงเจาะจง
เราจะเป็นผู้นำตลาดในการบริการที่รวดเร็ว หรือ เชิงกว้างๆ เช่น
เราจะเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน
ระบบการพัฒนาและฝึกอบรม
สิ่งแรกที่ควรกระทำก่อนการกำหนดเป้าหมาย คือ
สำรวจดูตัวเองว่าตัวเราเองมีจุดอ่อน มีจุดแข็ง หรือข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง
ในระบบการพัฒนาและฝึกอบรมที่องค์กรมีอยู่
ซึ่งสามารถใช้แนวคิดเชิงกลยุทธ์ตามที่กล่าวมา หรือ ทำแบบคำถามขึ้นมาเพื่อพัฒนาระบบ
ไม่ว่าจะเป็นระบบใดๆ ก็สามารถ ใช้วิธีการนี้ได้ ให้ลองตอบคำถามง่ายๆ เช่น
1. มีเป้าหมายการพัฒนาและฝึกอบรมในระดับองค์กรชัดเจนหรือไม่
2. มีแผนงานการพัฒนาและฝึกอบรมทั้งระยะสั้นและระยะยาวหรือไม่
3. มีแผนพัฒนาความสามารถของคนทุกตำแหน่งงานหรือไม่
4. มีวิธีวัดระดับความสามารถของคนชัดเจน หรือยัง
5. เชื่อมโยงการพัฒนาความสามารถไว้ในระบบการประเมินผลงานใช่หรือไม่
6. พนักงานพึงพอใจกับระบบที่มีอยู่ใช่หรือไม่ ฯลฯ
ตัวชี้วัดผลงานด้านการพัฒนาและฝึกอบรม
สิ่งที่ทำมาทั้งหมดในการพัฒนา
และฝึกอบรมจะสอดคล้องกับทิศทางขององค์กร หรือไม่นั้น สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ
การกำหนดตัวชี้วัดผลงานด้านการพัฒนาและการฝึกอบรม ตามกลยุทธ์ที่กล่าวไปแล้ว
การวัดผล อาจจะแบ่งกลุ่มของตัววัด ได้ดังนี้
ตัววัดเชิงประสิทธิภาพ เช่น
→ จำนวนชั่วโมงการฝึกอบรมต่อคนต่อปี
→ อัตราผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมต่อพนักงานทั้งหมด
คิดเป็น %
→ ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมต่อคนต่อปี
→ จำนวนหลักสูตรที่เรียนไป
หรือจัดไปต่อปี
→ ระดับความพึงพอใจของผู้เข้ารับการฝึกอบรม
→ ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมต่องบประมาณประจำปี
→ เปอร์เซ็นต์การจัดฝึกอบรมที่สามารถจัดได้ตรงตามแผน เป็นต้น
ให้สังเกตว่า
เป็นตัววัดที่องค์กร ชอบนำมาใช้กันมาก ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ควรกระทำ
แต่ต้องระวังในการใช้ตัววัดแบบนี้ และต้องให้ความสมดุล กับตัววัดอีกประเภทหนึ่ง
คือ ตัววัดเชิงประสิทธิผล ของการฝึกอบรม เพื่อไม่ให้กลับไปสู่พื้นฐานคือ อบรม
พัฒนาไปแล้ว ผลต่อองค์กรที่แท้จริงไม่เกิดขึ้น
ตัววัดเชิงประสิทธิผล เช่น
→ จำนวนของเสียที่ลดลงจากการเรียนรู้
→ ทักษะที่เพิ่มขึ้นเทียบกับปีก่อน
(วัดจากความผิดพลาดในการทำงาน)
→ อัตราการเพิ่มขึ้นของคะแนนก่อนและหลังการฝึกอบรม
→ จำนวนพนักงานที่ได้รับใบรับรองจากสถาบันภายนอก
เช่น ใบรับรอง จป.วิชาชีพ ใบรับรองผู้สอบผ่านเป็นผู้ควบคุมสิ่งแวดล้อม
ใบรับรองการเป็นวิทยากรหลักสูตรต่างๆ เป็นต้น
→ ค่าใช้จ่ายอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุติเหตุ
→ ประเด็นที่ละเมิดกฎหมาย
→ กำไรของบริษัทต่อหัว
รายได้ของบริษัทต่อหัวต่อปี
ค่าใช้จ่ายขององค์กรต่อหัว
ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยสินค้า
ผลผลิตต่อหัว เป็นต้น
ตัวชี้วัดดังกล่าว เป็นการมุ่งวัดที่ตัวคนว่าเขาได้อะไรจากการพัฒนาและฝึกอบรมขององค์กร
มีทักษะความสามารถอยู่ในระดับใด และมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่เกิดกับองค์กรด้วย
ในการกำหนดตัวชี้วัดประเภทนี้ควรจะมีการกำหนดร่วมกันระหว่างผู้บริหารในทุกหน่วยงาน
เพราะถ้ากำหนดให้เป็นตัวชี้วัดของฝ่ายเดียว คงจะบรรลุเป้าหมายยาก
และต้องถือว่าตัวชี้วัดกลุ่มนี้เป็นตัวชี้วัดเชิงกลยุทธ์ในระดับองค์กรด้วย
ทางเลือกในการพัฒนาและฝึกอบรม
เมื่อทราบเป้าหมาย
และจุดอ่อน จุดแข็ง ขององค์กรแล้ว ขั้นตอนต่อไป
ควรกำหนดวิธีการเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้น กลยุทธ์ที่เราคุ้นเคยกัน ได้แก่
1. การว่าจ้างที่ปรึกษาภายนอกเข้ามาวางระบบ
และออกแบบหลักสูตร
2. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
(IT)
3. การใช้ระบบผลตอบแทนบนพื้นฐานความสามารถ
4. การเรียนรู้ด้วยตนเอง
(Self-Learning)
5. การประชุม
และแลกเปลี่ยนภายในทีม
6. เอกสาร
วารสาร ภายใน
7. ฝึกอบรมภายใน
8. ส่งไปเรียน
หรือดูงานภายนอก
โครงการที่จะพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรม
หรือพัฒนาบุคลากรนั้น
เราจะต้องมีแนวคิดที่ชัดเจนก่อนว่าทิศทางการพัฒนาคนขององค์กรเราไปทางไหน และกลยุทธ์ที่เน้นคืออะไร
เพราะมิฉะนั้นเราจะกำหนดแผนงาน โครงการ หรือหลักสูตร ตามประเพณีนิยม เช่น
ลอกเลียน หรือประยุกต์ขององค์กรอื่นๆ ที่เขาทำได้ดีมาใช้กับองค์กรของเรา
นำเครื่องมือที่องค์กรอื่นว่าดีมาใช้ หรือดำเนินตามคำแนะนำของที่ปรึกษาภายนอก
ที่ไม่ได้รู้ภาวะที่แท้จริงขององค์กร ดังนั้นการหาเครื่องมือที่เหมาะสมกับองค์กร
เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
แผนงานหรือโครงการนี้
ควรจะเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างกลยุทธ์ กับหลักสูตรการฝึกอบรม พัฒนา เช่น
องค์กรมีแผนงานในระยะยาว เรื่องการพัฒนาคนในด้านการจัดการ
และการโยกย้ายตำแหน่งงาน แผนงานก็ควรประกอบด้วย โครงการพัฒนาตนเองของกลุ่มเป้าหมาย
โครงการพัฒนาภาวะผู้นำ โครงการพัฒนาผู้บริหารรุ่นใหม่ ฯลฯ
ซึ่งในแต่ละโครงการก็จะประกอบไปด้วยหลักสูตรย่อยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ในการออกแบบหลักสูตรการฝึกอบรมต้องเริ่มจากการตั้งโจทย์เช่นเดียวกับแผนกลยุทธ์
เช่นองค์กรต้องการให้อะไรจากการฝึกอบรมนั้น องค์กรควรจะเป็นผู้ออกแบบหลักสูตรเบื้องต้นด้วยตนเองก่อน
แล้วค่อยเสาะแสวงหาที่ปรึกษา หรือในตลาดว่ามีใครบ้างที่มีหลักสูตรที่เราต้องการ
แล้วจึงเชิญวิทยากรที่หลากหลาย
แนวคิดมาพูดคุยเพื่อหาผู้ที่เหมาะสมกับสิ่งที่เราต้องการจริงๆ สิ่งสำคัญ คือ
อย่าหลงกระแส ความดังของวิทยากร หรือหลีกสูตร
แล้วจัดไปก็ไม่ได้ประโยชน์ที่แท้จริง เพราะมันไม่ใช่ทางแก้ปัญหา
หรือสิ่งที่เราต้องการ
กับดักสู่ความล้มเหลวในการพัฒนาและฝึกอบรม
1. หลักสูตรอบรม มากมาย แต่ไม่สามารถนำไปปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์ได้
การฝึกอบรมที่เน้นปริมาณ สิ้นเปลืองเงิน และเวลา
ควรหาความต้องการและมีเป้าหมายที่ชัดเจน
2. ไม่ได้ศึกษาปัญหา ความต้องการ และข้อมูลของกิจการ
ฝึกอบรมกันเองตามกำลังความสามรถ ใช้คนในที่ขาดความพร้อม หรือเรียนว่า
อบรมกันเป็นหน้าที่
3. การเชิญวิทยากรมาจากภายนอกมาสอนภายใน แล้วส่งคนเข้าเรียนให้มากที่สุด
แน่นอน ต้นทุนต่ำ แต่องค์กร หรือคนเรียนได้อะไรที่น้อยมาก
ซ้ำยังต้องถูกเรียกตัวเพื่อทำงานด่วน ตามที่หัวหน้าต้องการ
4. ไม่มีแผนงบประมาณที่ชัดเจน มีงบฯ ก็พัฒนาคน หมดงบประมาณก็หยุด
ขาดการวางแผนในการพัฒนาคนอย่างมีระบบ ไม่มีความต่อเนื่อง บางครั้งทำตามกระแส
ไม่เกิดประโยชน์ที่แท้จริง
5. จัดหลักสูตรครอบจักรวาล หนึ่งหลักสูตรจะให้ตอบสนองทุกความต้องการ
6. เน้นอบรมเชิงรับ คือมีปัญหาแล้วอบรม
ควรพัฒนาคนเพื่อรับมือให้ทันกับปัญหาจะดีกว่า
7. วัดผลโดยการสอบข้อเขียน คนจำได้มาก ก็ทำข้อสอบหลังการฝึกอบรมได้มาก
ไม่ได้วัดประสิทธิผลที่แท้จริง ดังที่กล่าวมาแล้ว
9. เลือกพัฒนาคนบางกลุ่ม บางระดับ เนื่องจากจัดการตามความเร่งด่วน
หรือไม่ก็ตามกระแสนิยม ไม่ได้พัฒนาแบบองค์รวม
10. ไม่รู้ปัญหาและความต้องการของพนักงานที่แท้จริง
รวมถึงไม่ได้พัฒนาเพื่อรองรับระยะยาว จึงเสียเวลา และงบประมาณเปล่า
11. ละเลยการพัฒนาวิธีคิดของพนักงาน การเพิ่มศักยภาพของทีมงาน
ไม่ใช่แค่วิธีการใหม่ๆ แต่ต้องเปลี่ยนวิธีคิด
เพื่อให้ได้ผลที่แตกต่าง
การวางแผนกลยุทธ์ด้านการพัฒนาและฝึกอบรม
เป็นหัวใจที่สำคัญอย่างหนึ่งต่อการพัฒนาองค์กร และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับองค์กร
จึงควรวางกลยุทธ์นี้อย่างมืออาชีพ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
หากขาดการวางแผนการพัฒนาและฝึกอบรมเชิงกลยุทธ์ที่ดีแล้ว
โอกาสนำพาองค์กรไปสู่แนวหน้าจะเป็นไปอย่างลำบาก การอบรมกี่ปีกี่ครั้งก็จะหนีไม่พ้นหลักสูตรเดิมๆ
คนกลุ่มเดิมๆ เพียงแค่เปลี่ยนเวลา สถานที่ หรือวิทยากรคนใหม่ เงินจำนวนมหาศาลที่ทุกองค์กรได้ทุ่มเทให้กับการพัฒนาคนแบบไร้ทิศทางก็ยังต้องสูญเสียไปอย่างไร้จุดหมาย
ระบบมาตรฐานสากลช่วยพัฒนาคุณภาพคนในองค์การได้จริงหรือ?
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าหลายๆองค์การเริ่มนำเอามาตรฐานสากลต่างๆ
เข้ามาใช้ในองค์การมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับระบบคุณคุณภาพของระบบการทำงาน สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของคนทำงาน
เช่น ISO9000 และ ISO14000
นอกจากมาตรฐานที่สามารถใช้ได้กับทุกองค์การแล้ว
ในแต่ละธุรกิจก็จะมีมาตรฐานเฉพาะด้านเข้ามาอีก เช่น
อุตสาหกรรมอาหารต้องมีการนำเอาระบบ GMP (Good Manufacturing Practice) และ HACCP
(Hazard Critical Control Point) เข้ามาใช้ อุตสาหกรรมรถยนต์ต้องมีมาตรฐาน QS9000 และสำหรับห้องปฏิบัติการที่ต้องการออกใบรับรองต้องขอมาตรฐาน ISO17025 เป็นต้น ระบบมาตรฐานสากลต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
จริงๆแล้วมีประโยชน์คุ้มค่ากับการลงทุนลงแรงกันมากน้อยเพียงใด มีใครเคยมานั่งทบทวนตรงจุดนี้กันบ้างไหม
ถ้าพิจารณากันที่ตัวระบบเพียงอย่างเดียว
เราต้องยอมรับว่าระบบมาตรฐานต่างๆนั้นเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์กับการพัฒนาองค์การในบ้านเรามากทีเดียว
แต่ระบบเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เราคิดกันขึ้นมาเอง
มันเป็นของเข้าจากต่างประเทศทั้งนั้น และสิ่งที่เราหนีไม่พ้นคือค่าใช้จ่ายและต้นทุนที่เกิดจากการขอการรับรองจากมาตรฐานเหล่านั้น
ถ้าองค์การไหนต้องส่งสินค้าออกไปต่างประเทศ
แน่นอนว่าย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
แต่มีหลายบริษัทที่ขอมาตรฐานเพราะอยากได้เฉยๆ ไม่มีเหตุผลอะไรประกอบ
เพราะรู้สึกว่าถ้าได้มาตรฐานเหมือนที่คนอื่นเขาได้กันจะดูเหมือนว่าเป็นองค์การมีความทันสมัย
แต่หารู้ไม่ว่าภาระผูกพันแบบต่อเนื่องไม่รู้จบนั้นเริ่มต้นขึ้นแล้ว
และถ้าคุณเข้าระบบแล้ว วันดีคืนดีขอออกจากระบบนั้น
ยิ่งแย่ไปกว่าองค์การที่ยังไม่เคยเข้าระบบเลยนะจะบอกให้
ดังนั้น
จึงควรคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วนรอบคอบว่าองค์การของเราจำเป็นต้องได้รับการรับรองตามาตรฐานเหล่านั้นหรือไม่มากน้อยเพียงใด การที่เราจะพัฒนาองค์การ พัฒนาคุณภาพของบุคลากร
ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะต้องมีตราหรือยี่ห้อใดๆรองรับ
แต่เราสามารถนำเอาหลักการและวิธีการของระบบมาตรฐานเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ได้
เช่นเราสามารถทำตามมาตรฐาน ISO ได้โดยไม่จำเป็นต้องขอการรับรองก็ได้
วันข้างหน้าถ้าเราจำเป็นต้องขอ เราก็สามารถสมัครเข้าขอรับการรับรองได้โดยไม่ยาก
ถ้าระบบของเราพร้อมอยู่แล้ว ทำไมต้องรีบเข้าระบบเสียตั้งแต่ตอนนี้
การเห่อระบบมาตรฐานสากลในบ้านเราไม่เพียงแต่ภาคเอกชนเท่านั้นนะครับ
แต่ลุกลามไปถึงภาครัฐด้วย เราจะเห็นโรงเรียน
โรงพยาบาลหลายแห่งติดป้ายหราว่าได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO ถ้าถามกันจริงๆ
ว่ามีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องเสียเงินให้กับผู้ให้การรับรองซึ่งส่วนมากเป็นองค์การจากต่างประเทศ
ผมคิดว่าเราควรจะดูว่าองค์การของเรานั้นจำเป็นต้องปรับปรุงหรือพัฒนาในเรื่องใด
ให้ตัดสินใจทำไปเลย ไม่ต้องรอทำตอนที่จะขอการรับรอง
ถ้าเราต้องการดูได้ว่าองค์การไหนที่มีระบบดีหรือไม่ดี
ให้ดูตอนทำโครงการเพื่อขอมาตรฐาน ISO ถ้าองค์การใดถือว่าการขอการรับรองเป็นเรื่องใหญ่
สำคัญและต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาใหญ่โต ทำให้คนทั้งองค์การเดือดร้อนกันไปตามๆกัน
ก่อนขอการรับรองไม่มีเรื่องอื่นสำคัญกว่าละก้อ
แสดงให้เห็นว่าองค์การนั้นต้องการขอใบรับรองมากกว่าต้องการปรับปรุงระบบงานจริงๆ
เพราะองค์การที่เขามีระบบดีอยู่แล้ว เขาถือว่าการขอการรับรองเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก
มอบหมายให้คนบางกลุ่มดำเนินการก็ได้
ไม่ต้องทุ่มเททรัพยากรอะไรให้มากมายเพราะเพียงแค่ปรับระบบที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้วให้เข้ากับข้อกำหนดที่มาตรฐานนั้นๆต้องการก็เพียงพอแล้ว
เราลองมาพิจารณากันดูว่าระบบมาตรฐานต่างๆที่เรานำเข้ามาใช้ในองค์การนั้นจริงๆแล้วมันช่วยให้คุณภาพของบุคลากรเพิ่มขึ้นหรือไม่
ถ้าพูดกันตรงๆ ผมคิดว่าระบบเหล่านี้มีส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพคนของเราได้น้อยมาก
แต่กลับสร้างทัศนคติให้คนรู้จักหาทางหลบหลีกมากยิ่งขึ้น ในบางองค์การพนักงานรู้สึกว่าระบบมาตรฐานต่างๆ
คือภาระที่เพิ่มขึ้น จะตื่นตัวกันเป็นช่วงๆเฉพาะเวลาที่ Auditor เข้ามาตรวจเหมือนกับในอดีตที่เรานำเอาระบบ 5ส เข้ามาใช้นั่นแหละ
คำว่าผักชีโรยหน้าก็ยังอยู่คู่กับคนไทยต่อไป คนในองค์การส่วนมากยังมองว่าการตรวจสอบคือการจับผิด
ถ้าถูกจับผิดน้อยแสดงว่าเก่ง เวลาคุยโม้กันก็มักจะพูดว่าได้ CAR หรือไม่ จำนวนเท่าไหร่ ไม่เคยพูดเลยว่าระบบของเรามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นหรือไม่อย่างไร
ผมคิดว่าถ้าเราต้องการพัฒนาองค์การกันจริงๆแล้ว
เราไม่ควรนั่งรอให้ข้อกำหนดของมาตรฐานสากลต่างๆ มาเป็นตัวบังคับเรา
แต่เราน่าจะมีการพัฒนาระบบและบุคลากรของเราไปก่อนเลย สิ่งไหนที่คิดว่าดี ระบบไหนที่เห็นว่าดี นำเข้ามาใช้ก่อนเลย
ไม่ต้องถามว่ามีใบรับรองหรือไม่ ประเทศไหนให้การรับรองบ้าง
เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากReactive ไปสู่ Proactive ให้มากขึ้น
ในการพัฒนาคุณภาพคนก็เหมือนกันผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องรอให้กรอบของระบบมาตรฐานเข้ามาครอบพฤติกรรมคนของเรา
เราควรวางแผนเพื่อพัฒนาคนให้สอดคล้องกับแนวโน้มของการแข่งขันทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ผมคิดว่าถ้าเราให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนมาตั้งแต่ในอดีต เราคงจะไม่ประสบปัญหาคนต่อต้านระบบ
คนหลอกระบบ คนไม่มีระเบียบวินัย เหมือนเช่นทุกวันนี้อย่างแน่นอน
แต่ถึงปัจจุบันนี้ผมก็คิดว่ายังไม่สายที่เราจะเริ่มต้นวางแผนการพัฒนาคนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ทั้งภาครัฐและเอกชน ขอให้เริ่มต้นคิดพัฒนาคนเพื่อหวังผลให้คนมีศักยภาพที่เพิ่มขึ้น
ไม่ใช่พัฒนาคนเพื่อรองรับระบบมาตรฐานบางอย่างเท่านั้น
เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นจริงมากน้อยเพียงใด
ผมจึงอยากให้เพื่อนๆร่วมวิชาชีพ HR ลองกลับไปทบทวนดูว่าเฉพาะส่วนของการฝึกอบรมที่เรารับผิดชอบอยู่นั้น
ก่อนและหลังระบบมาตรฐาน ISO เข้ามาแล้วมีอะไรบ้างที่ดีขึ้น
มีอะไรบ้างที่เป็นภาระเพิ่มขึ้น
และอะไรบ้างที่ไม่มีความแตกต่างกันทั้งก่อนและหลังการได้รับการรับรอง เช่น
สรุปว่าระบบมาตรฐานสากลที่เรานำเข้ามาใช้ในองค์การในบ้านเรานั้น
เราอยู่ในลักษณะของการตั้งรับมากกว่าการรุกคืบไปข้างหน้า
เราต้องเดินตามหลังคนอื่นเสมอ เพราะเราขาดการเตรียมการที่ดี
เปรียบเสมือนกับสามล้อถูกหวยรวยไม่รู้เรื่องภายในวันเดียว
จากเดิมที่เคยอยู่ในสลัม แล้วย้ายไปอยู่บ้านเดี่ยวแบบผู้ดี
แต่พฤติกรรมการกินข้าว การดำรงชีพอื่นๆก็ยังไม่แตกต่างจากเดิม พูดง่ายๆก็คือเอาระบบมาตรฐานมาครอบคนที่ยังไม่ได้มาตรฐานไว้ก่อน แล้วค่อยมาหาทางบังคับให้คนปรับตัวเข้ากับระบบในภายหลัง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
การปรับพฤติกรรมและทัศนคติคนนั้นเป็นเรื่องที่ยากและต้องใช้เวลาพอสมควร เราควรจะพัฒนาคุณภาพของคนก่อนเป็นอันดับแรก
เพราะไม่ว่าระบบอะไรจะเข้ามาถ้าคนของเราพร้อม คนของเรามีคุณภาพ การปรับตัวให้เข้ากับระบบคงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
มุมมองของผู้บริหารต่องานฝึกอบรม
ถึงแม้ว่าผู้บริหารขององค์กรต่างๆจะพูดว่าเราให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนต่อบุคคลภายนอก
เรามีนโยบายในการฝึกอบรม เรามีงบประมาณด้านการฝึกอบรมมากมาย ซึ่งดูเหมือนว่าการแสดงออกของผู้บริหารในองค์กรต่างๆต่อสาธารณชนจะมีความภูมิใจต่อการพัฒนาบุคลากรเป็นอย่างมาก
แต่..ลึกๆแล้ว ผู้บริหารหลายท่านก็ยังไม่ค่อยถูกใจกับการฝึกอบรมมากนัก
สาเหตุหลักๆที่ทำให้ผู้บริหารยังไม่ค่อยประทับใจกับงานฝึกอบรมคือผู้บริหารส่วนใหญ่ยังรู้สึกว่าการบริหารงานฝึกอบรมขององค์กรยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนัก
เช่น จัดอบรมทุกปีแต่ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น
อบรมไปอบรมมาสี่ห้าปีหลักสูตรเดิมไม่ค่อยมีอะไรแตกต่าง
อบรมไปแล้วไม่มีการติดตามและประเมินผลอย่างจริงจัง
สุดท้ายงานฝึกอบรมกลายเป็นเหมือนสวัสดิการเหมือนกับการงานฉลองปีใหม่ให้พนักงาน
เป็นประเพณีที่จะต้องจัดฝึกอบรม ปีไหนไม่มีหลักสูตรฝึกอบรมพนักงานก็จะโวยวายกัน
ปีไหนมีก็เฉยๆ
จากการที่ได้พูดคุยกับผู้บริหารหลายๆท่านเกี่ยวกับฝึกอบรม
ผู้บริหารส่วนใหญ่ต้องการเห็นงานฝึกอบรมในมิติต่างๆดังนี้
• มีแผนฝึกอบรมระยะยาวที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์กร
ในแต่ละปีผู้บริหารมักจะเจอปัญหาคล้ายๆกันคือฝ่ายฝึกอบรมได้ทำการสำรวจมาแล้วนำเสนอแผนฝึกอบรม บางครั้งผู้บริหารยังไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่สุดท้ายถูกข้อกำหนดของระบบมาตรฐานต่างๆที่ฝ่ายฝึกอบรมนำมาเป็นข้ออ้าง เช่น แผนอบรมจะต้องเสร็จก่อนเดือนนั้นเดือนนี้เพราะทางผู้ตรวจสอบจะเข้ามาขอดูแผนฝึกอบรม ทำให้ผู้บริหารต้องจำใจอนุมัติแผนฝึกอบรมในปีนั้นๆไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผู้บริหารไม่ต้องการเห็นฝ่ายฝึกอบรมนำเสนอแผนการจัดฝึกอบรมเป็นปีๆ เพราะมองไม่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างแผนแต่ละปี แต่...ผู้บริหารเขาต้องการเห็นการนำเสนอแผนรายสามปีห้าปีที่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์กับทิศทางหรือกลยุทธ์หลักขององค์กร ต้องการเห็นกรอบ แนวคิด วัตถุประสงค์ และกลยุทธ์โดยรวมของแผนงานด้านการฝึกอบรมในระยะยาว
เมื่อผู้บริหารเห็นชอบในหลักการและกลยุทธ์ต่างๆของการฝึกอบรมแล้ว
รายละเอียดว่าจะจัดหลักสูตรอะไร เมื่อไหร่ กี่หลักสูตร ฯลฯ
ผู้บริหารไม่ค่อยสนใจในรายละเอียดมากเท่าไหร่
ถ้าหลักสูตรเหล่านั้นยังอยู่ในกรอบที่ได้ของแผนงานฝึกอบรมระยะยาวที่ได้อนุมัติไว้
• อยากเห็นหลักสูตรใหม่ๆที่พัฒนาขึ้นมาเอง ผู้บริหารต้องการเห็นหลักสูตรการฝึกอบรมที่เป็นมาตรฐานสำหรับการพัฒนาบุคลากรในองค์กรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะขององค์กร ไม่ใช่ไปลอกหลักสูตรของคนอื่นมาทั้งหมด ผู้บริหารต้องการเห็นงานฝึกอบรมทำทั้งงานวิจัยและพัฒนา การวิจัยไม่จำเป็นต้องทำแบบใหญ่โต แต่จะต้องมีการนำเอาข้อมูลมาศึกษาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางในการหาแนวทาง หลักสูตรการฝึกอบรมใหม่ๆที่เหมาะสมกับองค์กร ต้องนำเอาแนวทางในการวิจัยมาใช้กับการพัฒนางานและพัฒนาคน
• ไม่เน้นจำนวนหลักสูตร แต่เน้นประสิทธิผล
ผู้บริหารไม่ต้องการเห็นฝ่ายฝึกอบรมยุ่งทั้งเดือนทั้งปี วันนี้จัดอบรมเสร็จพรุ่งนี้มีต่อมะรืนนี้ก็จัดอีก แล้วจะเอาเวลาไหนไปคิดสิ่งใหม่ๆในแผนงานปีต่อๆไป ผู้บริหารส่วนใหญ่ไม่ต้องการเน้นที่ปริมาณการจัดฝึกอบรม แต่อยากจะเห็นผลที่ได้จากการฝึกอบรม ไม่ว่าจะเป็นการประเมินผล การติดตามผลอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารบางคนบอกว่าถึงแม้ทั้งปีจะจัดเพียงหลักสูตรเดียวโดยใช้งบประมาณเท่าเดิม แต่ถ้าได้ผลชัดเจน ก็ยังดีกว่าจัดฝึกอบรมทุกเดือนงบประมาณเท่ากัน แต่ไม่เห็นผลอะไรเลย
• ต้องวัดผลของการลงทุนให้ได้
ผู้บริหารต้องการเห็นการนำเสนอขออนุมัติหลักสูตรของฝ่ายฝึกอบรมในลักษณะของการนำเสนอโครงการลงทุน ที่ต้องแสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าของการลงทุน ถึงแม้ผลของการลงทุนในบางโครงการจะวัดออกมาเป็นตัวเงินที่ชัดเจนไม่ได้ แต่ก็ควรจะวัดผลออกมาในเชิงคุณภาพหรือความสามารถที่เพิ่มขึ้นได้ ดังนั้น ผู้บริหารต้องการให้คนที่รับผิดชอบงานในด้านนี้มีความรู้และเทคนิคในการวิเคราะห์ผลตอบแทนจากการลงทุน
ผมเชื่อมั่นว่าผู้บริหารทุกองค์กรพร้อมที่จะทุ่มเทงบประมาณด้านการพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากร
ถ้าการพัฒนาและฝึกอบรมนั้นแสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าลงทุนไปแล้วได้ผลตอบแทนที่คุ้มทุน
ซึ่งผลตอบแทนที่ได้อาจจะเป็นผลตอบแทนทางตรงหรือทางอ้อม อาจจะเป็นผลตอบแทนในระยะสั้นหรือระยะยาวก็ได้
ถ้าต้องการให้การบริหารงานฝึกอบรมในบ้านเรามีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
ผมคิดว่าน่าจะมีองค์กรใดจัดสัมมนาครั้งใหญ่ขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง
โดยเชิญผู้บริหารระดับสูงและผู้รับผิดชอบงานด้านการพัฒนาและฝึกอบรมมานั่งทำเวิร์คช้อปกัน
เพื่อกำหนดแนวทางในการยกระดับงานด้านการพัฒนาและฝึกอบรม
เพราะเรื่องการพัฒนาคนคงจะไม่ใช่ความลับทางธุรกิจอะไร
น่าจะมาร่วมกันคิดร่วมกันวางแผนได้
หลังจากนั้นต่างคนต่างกลับไปดำเนินการตามรูปแบบของแต่ละองค์กรอย่างน้อยผมคิดว่าวงการการฝึกอบรมในบ้านเราก็น่าจะก้าวไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้นะครับ
การพัฒนาความสามารถของนักพัฒนาบุคลากร (HRD) ตอนที่ 1
พบว่าขีดความสามารถหรือ
Competency
นั้นเป็นปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อผลการทำงานของพนักงาน
ซึ่งปัจจุบันการวัดผลงานนั้นจะวัดไปที่ปัจจัยวัดผลการดำเนินงานหลัก หรือ Key
Performance Indicators: KPIs ทั้งนี้ Competency ของแต่ละฟังก์ชั่นมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน และงานพัฒนาหรือ Human
Resource Development เป็นอีกฟังก์ชั่นหนึ่งที่สำคัญซึ่งผู้ที่ปฏิบัติงานในด้านนี้ย่อมต้องการ
Competency เฉพาะด้านที่แตกต่างไปจากงานอื่น ๆ
เช่นเดียวกัน
จะเห็นได้ว่าการที่จะเป็นนัก HRD ที่ดีนั้น พวกเขาจะต้องมี Competency ที่สำคัญใน 4 เรื่องหลักด้วยกัน ได้แก่ ความสามารถด้านทักษะวิชาชีพ (Technical Competency) นัก HRD ที่ดีจะต้องมีขีดความสามารถในงานวิชาชีพเฉพาะด้าน งานวิชาชีพนั้นถือได้ว่าเป็นงานทางเทคนิคที่ไม่เหมือนสายงานอื่น ๆ ทั้งนี้สมาคมเพื่อการฝึกอบรมและพัฒนาของประเทศสหรัฐอเมริกา (The American for Training Development : ASTD) โดย McLagan ได้ทำการศึกษาถึงรูปแบบของงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Models for HRD Practice) ซึ่งผลจากการศึกษาดังกล่าวทำให้ได้ข้อกำหนดของ Technical Competency ซึ่งหมายถึงความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการปฎิบัติหน้าที่ ได้แก่ พบว่าขีดความสามารถในงานเทคนิคเฉพาะด้านนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่นัก HRD จะต้องเรียนรู้ รักที่จะแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองให้มีความสามารถเหล่านี้ ซึ่งเป็นเสมือนความสามารถขั้นพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็นของนัก HRD ที่มีความต้องการที่จะก้าวเข้าสู่นัก HRD มืออาชีพ ซึ่งความรู้ความสามารถทั้ง 11 ประการนี้จะส่งผลให้นัก HRD เป็นผู้เชี่ยวชาญ (Administration Expert) ด้านงานพัฒนาบุคลากรที่สามารถให้ความช่วยเหลือ และตอบข้อซักถามต่าง ๆ จากพนักงานได้
การพัฒนาความสามารถของนักพัฒนาบุคลากร (HRD) ตอนที่ 2
ขอกล่าวถึงขีดความสามารถของนัก
HRD ในอีก 2 เรื่องที่สำคัญต่อจากบทความที่แล้ว ได้แก่
ความสามารถด้านความสัมพันธ์ส่วนบุคคล (Interpersonal Competency) กับ ความสามารถด้านสติปัญญา (Intellectual Competency)
ความสามารถด้านความสัมพันธ์ส่วนบุคคล (Interpersonal Competency) นอกจากความรู้ในวิชาชีพที่นัก HRD จะต้องมีแล้ว ความสามารถอีกด้านหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ ความสามารถในด้านความสัมพันธ์ส่วนบุคคล หรือ Interpersonal Competency เนื่องจากนัก HRD ที่มีสัมพันธภาพที่ดีกับพนักงานทุกระดับ ย่อมจะทำให้พวกเขาได้รับความร่วมมือ ความช่วยเหลือจากพนักงานเหล่านั้น และสัมพันธภาพที่ดีย่อมจะทำให้พนักงานพร้อมที่จะเปิดใจให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ทั้งนี้ข้อมูลที่ได้รับจากพนักงานทุกระดับนั้นจะนำไปใช้ประกอบการวางแผนเพื่อพัฒนาบุคลากรในองค์การต่อไป พบว่าความสามารถในด้านความสัมพันธ์ส่วนบุคคลนั้นจะประกอบด้วย Competency ย่อย ๆ อีก 8 ข้อตามผลการศึกษาของสมาคมเพื่อการฝึกอบรมและพัฒนาของประเทศสหรัฐอเมริกา (The American for Training Development : ASTD) โดย McLagan ดังต่อไปนี้ ดังนั้นขีดความสามารถดังกล่าวจะช่วยทำให้นัก HRD สามารถเข้าถึงพนักงานได้ง่าย และส่งผลต่อไปยังบทบาทของการเป็นตัวแทนของฝ่ายบริหาร (Employee Champion) ที่นัก HRD จะต้องสื่อสารพูดคุยกับพนักงานเพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันของพนักงานที่มีต่อระดับจัดการ ความสามารถด้านสติปัญญา (Intellectual Competency) ความสามารถอีกด้านหนึ่งที่ช่วยทำให้นัก HRD ได้รับการยอมรับจากฝ่ายบริหารจัดการนั่นก็คือ ความสามารถในการด้านสติปัญญา (Intellectual Competency) ที่เน้นทักษะในด้านความคิดเป็นหลัก เป็นการคิดและการคาดการณ์ถึงอนาคตไปข้างหน้า ความสามารถในด้านนี้จึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในองค์การ ซึ่งนัก HRD ที่ดีจะต้องกล้าเปลี่ยน กล้าคิดและนำระบบงานใหม่ ๆมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม ซึ่งความสามารถในการด้านสติปัญญาจะส่งผลให้นัก HRD สามารถเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) ที่ดีให้กับองค์การต่อไปได้ จากการศึกษาของสมาคมเพื่อการฝึกอบรมและพัฒนาของประเทศสหรัฐอเมริกา (The American for Training Development : ASTD) โดย McLagan พบว่าความสามารถในด้านสติปัญญานั้นจะประกอบด้วยความสามารถย่อย ๆ อีก 7 ข้อที่สำคัญ ได้แก่ ขีดความสามารถของนัก HRD ยังไม่จบแค่นี้ ยังมีอีกด้านหนึ่งที่สำคัญได้แก่ ความสามารถในด้านธุรกิจ หรือ Business Competency ซึ่งผู้เขียนขอนำเสนอรายละเอียดของขีดความสามารถในด้านนี้ในบทความหน้า
การพัฒนาความสามารถของนักพัฒนาบุคลากร (HRD) ตอนที่ 3
จากบทความที่นำเสนอไปแล้ว
ผู้เขียนได้นำเสนอขีดความสามารถของผู้ที่ปฏิบัติงานในสายงานพัฒนาบุคลากร หรือ (HRD) ถึง 2
เรื่องหลักๆ ได้แก่ ขีดความสามารถด้านทักษะในวิชาชีพ (Technical
Competency) และขีดความสามารถด้านสัมพันธภาพส่วนบุคคล (Interpersonal
Competency) พบว่าขีดความสามารถทั้ง 2 เรื่องนี้
ยังไม่เพียงพอที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้นัก HRD สามารถทำงานให้ตอบโจทย์หรือความต้องการขององค์การได้
หากขาดขีดความสามารถที่สำคัญในเรื่องที่ 3 นั่นก็คือ
ความสามารถด้านสติปัญญา (Intellectual Competency)
3. ความสามารถด้านสติปัญญา (Intellectual Competency) จะเห็นได้ว่าความสามารถอีกด้านหนึ่งที่ช่วยทำให้นัก HRD ได้รับการยอมรับจากฝ่ายบริหารจัดการนั่นก็คือ ความสามารถในการด้านสติปัญญา (Intellectual Competency) ที่เน้นทักษะในด้านความคิดเป็นหลัก เป็นการคิดและการคาดการณ์ถึงอนาคตไปข้างหน้า ความสามารถในด้านนี้จึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในองค์การ ซึ่งนัก HRD ที่ดีจะต้องกล้าเปลี่ยน กล้าคิดและนำระบบงานใหม่ ๆมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม และความสามารถในด้านสติปัญญาจะส่งผลให้นัก HRD สามารถเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) ที่ดีให้กับองค์การต่อไปได้ จากการศึกษาของสมาคมเพื่อการฝึกอบรมและพัฒนาของประเทศสหรัฐอเมริกา (The American for Training Development : ASTD) โดย McLagan พบว่าความสามารถในด้านสติปัญญานั้นจะประกอบด้วยความสามารถย่อย ๆ อีก 7 ข้อที่สำคัญ ได้แก่ จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบของขีดความสามารถในด้านสติปัญญาทั้ง 7 ข้อนั้นจะส่งผลให้นัก HRD สามารถคิดริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา มองหาวิธีการและแนวทางในการพัฒนาระบบงานด้านบุคลากรให้สามารถผลักดัน ส่งเสริม กระตุ้น และจูงใจรักษาให้พนักงานเกิดความตั้งใจและความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เนื่องจากระบบงานในด้านการบริหารและพัฒนาบุคลากรที่ดีย่อมส่งผลส่งต่อไปยังขวัญและกำลังใจในการทำงานของพนักงานในองค์กรด้วยเช่นกัน ขีดความสามารถของนัก HRD ตามที่ได้นำเสนอไปแล้ว 3 เรื่องนั้นยังไม่จบเพียงเท่านี้ ยังมีอีกขึดความสามารถอีกด้านหนึ่งที่สำคัญได้แก่ ความสามารถในด้านธุรกิจ หรือ Business Competency ซึ่งผู้เขียนขอนำเสนอรายละเอียดของขีดความสามารถในด้านนี้ในบทความหน้าซึ่งเป็นตอนสุดท้าย
แนวทางการบริหาร HRD เชิงกลยุทธ์
ในอดีตเรานิยมเรียกหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการพัฒนาบุคลากรว่า
“Training”
หรือหน่วยงานฝึกอบรม
หน้าที่หลักๆของหน่วยงานนี้ก็คือการจัดฝึกอบรม
จะว่าไปแล้วหน่วยงานนี้ก็มีบทบาทไม่แตกต่างอะไรไปจากผู้ให้บริการจัดฝึกอบรมภายนอก
เพราะแผนการฝึกอบรมที่จัดทำขึ้นมาก็จัดทำขึ้นมาตามนโยบายของผู้บริหาร
หรือตามกฎหมาย ระบบมาตรฐานกำหนด หรือไม่ก็จัดตามคำร้องขอของหน่วยงานอื่นๆ
และจัดแล้วได้ผลไม่ได้ผล องค์กรก็ยังไม่ค่อยให้ความสำคัญมากนัก
จะให้ความสำคัญเพียงแค่ว่าจัดได้ตามแผนหรือไม่ คนเข้าอบรมเยอะหรือไม่
ผลการประเมินวิทยากรและการจัดอบรมโดยผู้เข้ารับการอบรมได้คะแนนดีหรือไม่ หรือไม่ก็ดูแค่ว่าจัดอบรมแล้วอยู่ในงบประมาณที่ขอไว้หรือไม่
ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หน่วยงานนี้ไม่ค่อยได้รับความสำคัญมากนักในสายตาผู้บริหาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมที่ดำเนินงานแบบเถ้าแก่
เพราะการฝึกอบรมแบบเก่ายังไม่ได้ตอบโจทย์ที่อยู่ในใจของเจ้าของที่ว่า “จัดฝึกอบรมวันนี้แล้ว พรุ่งนี้กำไรเพิ่มขึ้นหรือต้นทุนลดลงหรือไม่?”
ถึงแม้จะไม่มีตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามนี้
แต่หลายองค์กรก็ยังจัดฝึกอบรมกันอยู่ทุกปี เพราะอะไร
ก็เพราะมีเหตุผลมากมายที่ต้องจัดอบรม เช่น
เพื่อให้องค์กรนั้นดูดีในสายตาพนักงานและบุคคลภายนอก
(เอาไว้โฆษณาว่าองค์กรให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร)
จัดอบรมเพื่อเป็นสวัสดิการพนักงาน จัดอบรมเพราะข้อกำหนดของระบบมาตรฐานสากลต่างๆ
ในยุคนี้เราเริ่มได้ยินคำว่า
“HRD”
มากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มได้ยินว่า “HRD (Human Resource
Development” เป็นหน่วยงานที่แยกออกมาจาก “HRM (Human
Resource Management)” บางองค์กรก็เปลี่ยนเพียงชื่อ
แต่หลายองค์กรเริ่มเปลี่ยนบทบาทของการฝึกอบรมที่เป็นเพียงผู้จัดฝึกอบรม (ตามแผน)
ไปสู่บทบาทในการกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากรที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์กร
เริ่มขยายขอบเขตออกไปสู่การพัฒนาชีวิตคนมากกว่าเรื่องของที่ทำงาน (Personal
Development) การพัฒนาการศึกษาของบุคลากร (Education) รวมถึงการแสวงหาแนวทาง เครื่องไม้เครื่องมือในการพัฒนาคน (Research
& Development) มากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าในเมื่อหน้าที่ความรับผิดชอบและขอบเขตงานมากขึ้น ผู้บริหารองค์กรก็ย่อมมีความความหวังที่สูงขึ้นตามไปด้วย
บางคนอาจจะบอกว่า แค่ความคาดหวังแบบเดิมๆ
ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบในการฝึกอบรมยังไม่สามารถตอบได้เลย
เพื่อให้งาน HRD มีความสำคัญทั้งในสายตาของผู้บริหารระดับสูง บุคลากรในองค์กร รวมถึงผู้ที่ทำงานด้าน HRD โดยตรง ผมจึงขอแนะนำแนวทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ HRD ในองค์กรดังนี้
ระดับที่ 1 : ประสิทธิภาพของงาน HRD (HRD Efficiency)
หมายถึง การวัดว่าการบริหารงานของ HRD มีประสิทธิภาพหรือไม่ เช่น จัดอบรมได้ตามแผนหรือไม่ บริหารงานให้อยู่ในงบประมาณหรือไม่ ผู้เข้ารับการอบรมพึงพอใจหรือไม่ มีอะไรขาดตกบกพร่องในระหว่างการจัดฝึกอบรมหรือไม่ มีผู้เข้าอบรมครบตามที่กำหนดไว้หรือไม่ วิทยากรมีคุณภาพหรือไม่ ฯลฯ ถ้าวัดเพียงแค่นี้องค์กรก็จะมอง HRD เป็นเพียงหน่วยงานที่ทำงานประจำ ไม่มีโอกาสได้คะแนนดีกว่าศูนย์ เพราะมีโอกาสเพียง “เสมอตัว” กับ “ติดลบ” เท่านั้น จัดดีก็เฉยๆ จัดไม่ดีก็โดนด่า
ระดับที่ 2 : ประสิทธิผลของงาน HRD (HRD Effectiveness)
หมายถึงการวัดว่าการที่ HRD ได้จัดอบรมหรือพัฒนาไปแล้ว บุคลากรได้เปลี่ยนแปลงในเรื่องต่างๆดีขึ้นหรือไม่ เช่น มีความรู้ (Knowledge) เพิ่มขึ้นหรือไม่ มีทักษะ (Skills) สูงขึ้นหรือไม่ พฤติกรรม(Behavior)เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่ ทัศนคติ (Attitude) ดีขึ้นหรือไม่ ระดับที่ 3 : ผลกระทบต่อองค์กร (Business Impacts) หมายถึง การตอบคำถามที่ผู้บริหาระดับสูงขององค์กรมักจะถามคือมีการพัฒนาและฝึกอบรมไปแล้ว องค์กรได้อะไรบ้าง ผลงานในระดับนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของงาน HRD ที่จะตอบโจทย์ที่ว่า HRD เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ขององค์กรหรือไม่ ถึงแม้ว่างานของ HRD จะทำงานผ่านหน่วยงานอื่นซึ่งจะวัดผลงานได้ยากก็ตาม แต่สุดท้าย HRD จะต้องสาวไปให้ถึงให้ได้ว่าผลลัพธ์ต่างๆในภาพรวมขององค์กรนั้น HRD มีส่วนร่วมมากน้อยเพียงใด เช่น ก่อนและหลังทำโครงการนั้นโครงการนี้ ยอดขายของพนักงานขายต่อคนเพิ่มขึ้น ผลผลิตต่อคนเพิ่มขึ้น และมีส่วนไหนบ้างที่เกิดจาก HRD โดยตรง และการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างภายในองค์กรที่เกิดจากงานของ HRD โดยตรง เช่น การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร จากแนวทางทั้งหมดที่กล่าวมานี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าน่าจะพอที่จะช่วยให้ผู้บริหารองค์กรสบายใจขึ้นมาได้บ้างว่าเปลี่ยนชื่อแล้วคุ้มค่า และคงจะช่วยให้ผู้ทำงานด้าน HRD พอที่จะมองเห็นแนวทางในการเข้าไปนั่งเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจเชิงกลยุทธ์ (Strategic Business Partner) ขององค์กรได้อย่างไม่ขายหน้าใครนะ
กลยุทธ์การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ (ตอน 2)
ผู้เขียน
กฤติน กุลเพ็ง
Strategic
Human Resource Planning
จากบทความครั้งที่แล้ว
ได้กล่าวถึง กิจกรรมการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งมีอยู่ 5 หัวข้อ คือ การพยากรณ์ การกำหนดเป้าหมาย
การวางแผนกลยทุธ์ การปฏิบัติตามแผน และการประเมินแผนงาน
โดยบทความที่แล้วได้กล่าวถึง เรื่อง การพยากรณ์ และ การกำหนดเป้าหมาย ไปบ้างแล้ว
ซึ่งในฉบับนี้จะกล่าวถึง การวางแผนกลยุทธ์ การปฏิบัติตามแผน การประเมินแผนงาน
พร้อมยกตัวอย่างมาเป็นที่เข้าใจดังต่อไปนี้
การวางแผนกลยุทธ์(Strategic Planning) เป็นการพยากรณ์และกำหนดเป้าหมายทรัพยากรมนุษย์ต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์การ
ในกรณีมุ่งเน้นกลยุทธ์ขององค์การมุ่งสู่คุณภาพจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางแผนทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพ
โดยมุ่งสู่การเตรียมความพร้อมด้านผู้บริหารที่มีคุณภาพ เสริมความเป็นผู้นำ
และการเตรียมทรัพยกรมนุษย์ที่มีคุณภาพ
โดยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
จากแผนภาพข้างต้น การวางแผนทรัพยากรมนุษย์
ต้องมีความเชื่อมโยงกับองค์การ โดยเริ่มตั้งแต่ วิสัยทัศน์ พันธกิจ และค่านิยมขององค์การ
ว่ามีกลยุทธ์หลักอะไรบ้างที่ได้วางไว้สำหรับปีนั้นๆ
เพื่อที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเชิงธุรกิจ
โดยเฉพาะการวางกลยุทธ์ด้านคนจะต้องออกแบบระบบการบริหารที่เกื้อหนุน เช่น
การวางแผนกำลังคน การสรรหาและคัดเลือก การบริหารผลตอบแทน และการบริหารสวัสดิการ
ซึ่งจะต้องมีความสอดคล้องกับกลยุทธ์องค์การ
แล้วกลยุทธ์องค์การก็ต้องสอดรับกับกลยุทธ์ธุรกิจด้วย
ในการวางแผนกลยุทธ์ทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น
ต้องคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้
ตามแผนภาพ การกำหนดกลยุทธ์การวางแผนทรัพยกรมนุษย์
ต้องคำนึงถึงปัจจัย 4 ประการ คือ
1. โครงสร้างขององค์การ (Organization Strategy) การกำหนดกลยุทธ์ที่ผู้บริหารต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก
และต้องมีความสอดคล้องกับโครงสร้างองค์การ กล่าวคือ
องค์การได้มีการจัดโครงสร้างในลักษณะใด เช่น เป็นแบบแบนราบ หรือเป็นแบบลำดับชั้น ถ้าเป็นแบบลำดับชั้นมีสายการบังคับบัญชาที่ยาว
กลยุทธ์ที่กำหนดจะต้องพิจารณาว่า ให้พนักงานระดับใดให้เข้ามามีส่วนร่วมบ้าง
เพราะการจัดองค์การในลักษณะนี้จะมีหัวหน้าค่อนข้างมาก
การกำหนดกลยุทธ์จึงต้องมีระยะเวลาให้กับพนักงานเข้ามามีส่วนร่วมมากกว่า
การจัดโครงสร้างแบบแบนราบ เป็นต้น
2. อุปนิสัยและค่านิยมขององค์การ(Characteristic
Strategy) การกำหนดกลยุทธ์จึงต้องพิจารณา
ค่านิยมและแนวปฏิบัติที่พนักงานได้ปฏิบัติเป็นระยะเวลานานและเป็นสิ่งที่ดี
ซึ่งไปเสริม วิสัยทัศน์ พันธกิจขององค์การให้มีประสิทธภาพ การกำหนดกลยุทธ์ด้านคน
ถ้ามีความสอดคล้องต่อค่านิยมหลักขององค์การด้วยแล้ว
จะเป็นตัวที่ทำให้เกิดแรงผลักดันให้
กลยุทธ์ดังกล่าวประสบความสำเร็จมากขึ้นตามไปด้วย
3. ความสามารถหลักขององค์การ(Core
Competency) เป็นจุดแข็งขององค์การที่จะทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ การกำหนดกลยุทธ์ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ไปเสริมแรงกับความสามารถหลักขององค์การด้วยแล้ว
จะทำให้ความแข็งแกร่งขององค์การมีเพิ่มขึ้น
โอกาสของคู่แข่งจะเข้าในธุรกิจและตามทันค่อนข้างยาก
4. สิ่งแวดล้อมขององค์การ (Environment) ในชุมชนข้างเคียงขององค์การที่ได้ตั้งอยู่ องค์การต้องอาศัยชุมชน อบต.
หรือเทศบาลที่เป็นหน่วยงานที่ต้องติดต่อประสานงานอยู่กับองค์การภาครัฐอยู่เป็นประจำ
ถ้าองค์การกำหนดกลยุทธ์ไปแล้ว ไม่สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่ภายนอกองค์การ
ก็จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น เสียภาษีเพิ่มขี้น
การวางแผนกลยุทธ์ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์
ที่ได้อธิบายถึงปัจจัยสำคัญทั้งสี่ข้อมาแล้วนั้น
ผู้เขียนอยากจะให้เห็นเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นในการกำหนดกลยุทธ์
ว่าสิ่งที่ได้กำหนดไปนั้นมีทิศทางที่ชัดเจน
และถูกต้องตามกลยุทธ์ขององค์การหรือไม่ จึงของอธิบายด้วยแผนภาพถัดไปดังต่อไปนี้
จากแผนภาพด้านบน
สมมุติว่าฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ได้ทราบถึงเป้าหมายขององค์การแล้วว่า
องค์การกำหนดกลยุทธ์ในลักษณะใด กลยุทธ์องค์การ อาจจะเป็นเชิงรุกและเชิงรับ
ขึ้นอยู่กับการทำแผนเชิงธุรกิจของบริษัท ซึ่งจะต้องทำการวิเคราะห์ SWOT เพื่อกำหนดทิศทางขององค์การ
และสิ่งที่ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ต้องทำในอันดับต่อไปก็คือ
การตั้งภารกิจหลักของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ว่า อะไรคือโจทย์ที่
บุคคลต้องตอบสนองความต้องการตามเป้าหมายขององค์การ ซึ่งก่อนที่จะหาคำตอบสิ่งเหล่านี้
จะต้องวิเคราะห์ตัวเองก่อนว่า จุดอ่อน จุดแข็ง หรือสถานะของฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบันเป็นอย่างไร แล้วจึงมาถึงขั้นตอนของการกำหนดกลยุทธ์ด้านการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
โดยจะต้องหาคำตอบให้ได้ว่า
จะทำอย่างไรให้โจทย์ที่ตั้งไว้บรรลุเป้าหมายขององค์การ
เมื่อกำหนดแผนกลยุทธ์ออกมาได้ตามสิ่งที่องค์การคาดหวังแล้ว
ขั้นตอนต่อไปคือ
ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์จะต้องทำความเข้าใจกับแผนกลยุทธ์ที่กำหนดออกมานั้นมาเป็น
แผนงานและโครงการ โดยทำการมอบหมายให้แต่ละแผนกไปดำเนินการเขียนแผนงาน/โครงการ
ซึ่งจะต้องประกอบไปด้วย วัตถุประสงค์ของแผนงาน ตัวชี้วัดความสำเร็จ ผู้รับผิดชอบ วันเวลาที่แล้วเสร็จ
เป็นต้น
สมมุติว่าองค์การได้วิเคราะห์กลยุทธ์ขององค์การแล้ว
ซึ่งมีแผนงานด้านการการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เรื่อง การพัฒนาศักยภาพ
และการสร้างความสุขในการทำงาน กลยุทธ์การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ของทางฝ่ายทรัพยากรมนุษย์
ก็จะต้องกำหนดขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์องค์การ
เพื่อที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ ตามที่ได้อธิบายมานั้น
เพื่อให้เกิดความเข้าใจยิ่งขึ้น ขอยกตัวอย่าง
การกำหนดกลยุทธ์มาเป็นตัวอย่างพอสังเขป ดังนี้
จากแผนภาพตัวอย่างการกำหนดกลยุทธ์
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ มีอยู่ 3 กลยุทธ์หลักๆ คือ
1. การพัฒนา
ทักษะและความสามารถของพนักงาน เพื่อให้องค์การ
ได้ประสบความสำเร็จตามมาตรฐานที่ได้ตั้งไว้
2. การทำให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี
โดยมีสุขภาพ พลานามัยแข็งแรงและบรรยากาศในการทำงานที่มีความสุข
3. การสรรหาและคัดเลือกพนักงานที่มีทักษะและความสามารถให้ได้ครบตามที่องค์การต้องการ
นั่นคือการกำหนดกลยุทธ์หลักที่ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ได้วางแผนไว้ ซึ่งผู้บริหารสูงสุดของด้านทรัพยากรมนุษย์ต้องกระจายแผนกลยุทธ์ดังกล่าวให้แต่ละแผนกไปดำเนินการจัดทำแผนและโครงการ
รองรับ เพื่อที่จะให้กลยุทธ์นั้นประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้เขียนจะขออธิบายในรายละเอียดในตอนต่อไป
ให้เข้าใจยิ่งขึ้น ว่า เมื่อกำหนดกลยุทธ์แล้ว แต่ละแผนกได้นำแผนกลยุทธ์ไปทำแผน Action plan เพื่อกำหนดตัวชี้วัดให้มีความ SMART เกิดความชัดเจน
สามารถตรวจสอบได้ มีผู้รับผิดชอบ และมีระยะเวลาแล้วเสร็จ ซึ่งแผนของแต่ละแผนก
ได้กำหนด KPI ให้สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของฝ่าย
และสอดคล้องกับองค์การ แค่นั้นยังไม่พอผู้เขียนขอเสริมว่า
ตัวชี้วัดไม่ใช่แต่จะให้งานบรรลุความสำเร็จตามเป้าอย่างเดียวไม่ได้
ต้องมีคุณภาพของงานเข้ามามีบทบาทด้วย การวัดความสำเร็จของงานอาจไม่สะท้อนถึงคุณภาพเลยก็ได้
ซึ่งจะมีตัววัดที่องค์การต้องคำนึงถึงก็คือ KQI ในรายละเอียดของแผนขอให้ผู้อ่านได้โปรดติดตามฉบับต่อไปครับ
ผู้เขียน กฤติน กุลเพ็ง ประสบการณ์ 25 ปี ทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์และพัฒนาองค์กร
เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์สมัยใหม่ บริหารวัฒนธรรมองค์กร และ การ Implement Competency
Model ให้กับองค์กรภาครัฐและเอกชน ประสบการณ์ในการทำงานในเครือซิเมนต์ไทยมา 15 ปี เป็นอาจารย์พิเศษ
สอนด้าน Human Resource Managementของมหาวิทยาลัยบูรพา
วิทยาเขตบางแสน
Mobile
081-5755966
Total Employees Management (TEM): แนวทางใหม่ในการบริหารบุคลากรในอนาคต
ในอดีตและปัจจุบันองค์กรต่างๆมักจะบริหารคนเพียงแค่บางส่วนของชีวิตคน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักจะบริหารเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำโดยตรง เช่น
ถ้าจะอบรมก็จะอบรมในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เพื่อให้ทำงานเป็น ทำงานได้ หรือทำงานดีขึ้น
และดูแลความเป็นอยู่ของคนเฉพาะความเป็นอยู่ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เช่น
มีสวัสดิการรักษาพยาบาล เพราะถ้าเจ็บป่วยก็มาทำงานไม่ได้ จะมีเพียงบางองค์กรที่อาจจะมีการดูแลบุคลากรครอบคลุมไปถึงครอบครัวบ้าง
เช่น ค่ารักษาพยาบาลครอบครัว แต่ก็เป็นเพียงบางส่วนที่ช่วยดึงดูดให้บุคลากรยังคงทำงานอยู่กับองค์กรต่อไปเพราะกลัวว่าถ้าออกไปอยู่ที่อื่นจะไม่มีสวัสดิ
การแบบที่ได้รับอยู่
พนักงานเปรียบเสมือนต้นไม้หนึ่งต้น
ถ้าองค์กรต้องการจะให้ต้นไม้ต้นนั้นอุดมสมบูรณ์และผลิดอกออกผลได้ดีนั้น
องค์กรจะทำหน้าที่เพียงแค่รดน้ำพรวนดินอย่างเดียวก็จะไม่ได้
เพราะต้นไม้บางต้นอาจจะเกิดจากพันธุ์ที่ไม่ได้
ต้นไม้บางต้นอาจจะไม่เหมาะกับดินตรงนั้น ต้นไม้บางต้นเกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์
ต้นไม้บางต้นไม่เหมาะเป็นที่ต้องการของศัตรูพืช
การบริหาร คน” หรือบุคลากรขององค์กรก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราต้องการหวังผลเลิศในการบริหารคน เราคงจะดูแลแค่เพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเขาคงจะไม่ได้อีกต่อไป ผมคิดว่าการบริหารบุคลากรในอนาคต จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าไปบริหารจัดการชีวิตคนทั้งชีวิตในทุกๆส่วน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าไปก้าวก่ายชีวิตของเขา เพียงแต่บางเรื่องเราสามารถบังคับได้ บางเรื่องเป็นเพียงผู้สนับสนุน บางเรื่องเราเป็นเพียงที่ปรึกษา บางเรื่องเราเป็นเพียงผู้ทำหน้าที่สรรหาโอกาสในการบริหารชีวิตมาให้คนในองค์กรของเราเท่านั้น การบริหารบุคลากรในอนาคต น่าจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับดังนี้
ระดับที่ 1 : บริหารชีวิตการทำงาน
ระดับที่ 2 : บริหารชีวิตส่วนตัว
(ผลประโยชน์ส่วนตัวที่ส่งผลกระทบต่องาน)
ในระดับนี้องค์กรน่าจะทำหน้าที่ในการการจัดหาโอกาสให้พนักงานในระดับที่ 1 นั้นอาจจะช่วยให้พนักงานทำงานได้และทำงานดีได้ แต่อาจจะไม่การันตีว่าจะทำงานได้และทำงานดีตลอดไปหรือไม่ เพราะพนักงานอยู่กับองค์กรประมาณวันละ 8 ชั่วโมง แต่อยู่ภายนอก 16 ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้น ผลกระทบของสิ่งที่เกิดจาก 16 ชั่วโมงที่องค์กรไม่ได้เข้าไปดูแลชีวิตของพนักงานนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อชีวิตการทำงาน 8 ชั่วโมงที่อยู่ในองค์กรได้ เช่น มีปัญหาครอบครัว ปัญหาหนี้สิน ปัญหาสุขภาพ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบชีวิตการทำงานโดยตรงอย่างแน่นอน ต่อให้คนๆนั้นมีฝีมือในการทำงานดีเพียงใด แต่ถ้าใจย่ำแย่ แต่ถ้าสุขภาพอ่อนแอ รับรองได้ว่าความสามารถในการทำงานที่มีอยู่คงจะไม่มีความหมายอะไรต่อองค์กร
หนทางหนึ่งที่คิดว่าการบริหารคนในอนาคตจะต้องขยายขอบเขตออกไปคือ
การให้คำปรึกษาเพื่อให้พนักงานสามารถวางแผนชีวิตเป็น บริหารตัวเองและครอบครัวได้
ส่วนวิธีการในการดำเนินงานอาจจะใช้มืออาชีพทางด้านการให้คำปรึกษาในด้านจิตวิทยาหรือมีหน่วยงานขึ้นรองรับงาน
ในส่วนนี้โดยตรงก็ได้
เพราะบทบาทในส่วนนี้จะช่วยให้สิ่งที่องค์กรได้ทุ่มเทพัฒนาฝีมือในการทำงานของคนได้มีโอกาส
นำมาใช้ได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนมากยิ่งขึ้นสรุป การบริหารในระดับที่สอง
มุ่งเน้นผลประโยชน์ของพนักงานที่ส่ง ผลกระทบต่อประโยชน์ขององค์กรในทางอ้อม
ไม่ทำก็ไม่เป็นไรในระยะสั้น แต่อาจจะกระทบในระยะยาว (ควรจะทำ)
ระดับที่ 3 : พัฒนาคุณภาพชีวิตโดยรวม ในระดับนี้องค์กรจะต้องมองถึงผลสำเร็จในชีวิตของคนให้มากกว่าผลประโยชน์ขององค์กรแล้ว ซึ่งในปัจจุบันนี้อาจจะยากที่จะเป็นไปได้ แต่ผมเชื่อว่าวันหนึ่งองค์กรต่างๆจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้กันมากขึ้น เพราะถ้าเราส่งเสริมให้ชีวิตคนมีคุณภาพ ผลที่จะติดตามมาคือสังคมมีคุณภาพมากขึ้นเช่นกัน คำถามว่าองค์กรจะทำอย่างไรได้บ้าง แนวทางที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นไปได้คือ การสรรหาโอกาสในชีวิตให้กับบุคลากร ไม่ว่าจะเป็นการป้อนข้อมูลข่าวสาร การเชื่อมโยงความก้าวหน้าในอาชีพกับองค์กรอื่นๆ (ถ้าเขาไม่สามารถเติบโตในองค์กรของเราได้แล้ว) การแนะนำอาชีพ การส่งเสริมให้พนักงานได้ออกไปประกอบอาชีพส่วนตัวที่ตัวเองอยากจะทำโดยมีองค์กรเป็นผู้สนับสนุน แนะนำ หรืออาจจะเป็นพี่เลี้ยง ตัวอย่างเช่น บุคลากรที่ทำงานโรงพยาบาลอาจจะอยากออกไปเปิดคลีนิกของตัวเอง แต่อาจจะขาดความรู้ในการบริหารจัดการ องค์กรก็อาจจะส่งเสริม สนับสนุนให้ ส่วนสนับสนุนแล้วจะมีเงื่อนไขอะไรซึ่งกันและกันบ้างก็ว่ากันไปตามความเหมาะสม บทบาทการบริหารบุคลากรในระดับนี้ จะช่วยป้องกันปัญหาที่องค์กรต่างๆกำลังเจออยู่ในปัจจุบันคือ แย่งคนกลุ่มเดียวกันจนทำให้ค่าตัวของคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่ง(อาจจะเพียงสิบเปอร์เซ็นต์ของตลาดแรงงาน)สูงจนเกินไป องค์กรจะต้องคำนึงถึงการคืนกำไรสู่สังคมโดยการคืนคนเก่งคนดีให้กับสังคมมากกว่ามานั่งแย่งคนเก่งคนดีกันเพียง อย่างเดียวสรุป การบริหารในระดับที่สาม มุ่งเน้นผลประโยชน์ของพนักงานและสังคมเป็นหลัก สิ่งที่องค์กรจะได้รับคือ ชื่อเสียงและการรับผิดชอบต่อสังคม (Social Accountability) ในระดับนี้ไม่ทำก็ไม่มีใครว่าองค์กรไม่ได้เสียอะไร (น่าจะทำ)
การบริหารคนในองค์กรจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเริ่มต้นจากผลประโยชน์ขององค์กรก่อนเพื่อให้องค์กรอยู่รอดและเติบโตได้
แต่สุดท้ายองค์กรจะต้องมองไปถึงผลประโยชน์ของบุคลากรหรือตัวคนแต่ละคนด้วยว่าเขาต้องการอะไรในชีวิต
และท้ายสุดก็ต้องมองถึงคุณภาพของคนในสังคมโดยรวม
ถ้าองค์กรใดสามารถวางแผนเพื่อประสานผลประโยชน์ทั้งสามระดับนี้ได้
น่าจะถือเป็นองค์กรที่มีคุณค่าทั้งในสายตาของนักลงทุน บุคลากร และสังคม
ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่องค์กรควรจะทำเส้น(Road Map) เพื่อนำองค์กรไปสู่การบริหารคนอย่างมีคุณค่าในสายตาของทุกกลุ่มคน
ความหมายของ IDP
เขียนโดย อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์
วิทยากรและที่ปรึกษา
Individual
Development Plan (IDP) หมายถึงแผนพัฒนาบุคลากรรายบุคคล เป็นกรอบหรือแนวทางที่จะช่วยให้บุคลากรในองค์การสามารถปฏิบัติงานได้บรรลุตามเป้าหมายในสายอาชีพของตน ถือได้ว่าเป็นแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ในรายละเอียดที่เชื่อมโยงหรือตอบสนองต่อความต้องการหรือเป้าหมายขององค์การและของหน่วยงาน
ซึ่งองค์การบางแห่งเรียกแผนงานดังกล่าวนี้ว่า Employee Development Plan
(EDP) หรือ Personal Development Plan / Performance
Development Plan (PDP)
IDP จึงเป็นขั้นตอนที่ถูกจัดทำขึ้นอย่างเป็นระบบ มีการเตรียมการหรือวางแผนงานไว้ล่วงหน้า โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการพัฒนาจุดอ่อน (Weakness) และเสริมจุดแข็ง (Strength) ของพนักงานในองค์การ พบว่าลักษณะทั่วไปของการจัดทำ IDP มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
เป็นกระบวนการที่เน้นระบบการสื่อสารแบบสองทาง
(Two
Way Communication) ซึ่งผู้บังคับบัญชาและพนักงานคนนั้นจะต้องพูดคุยกันถึงความคาดหวังในการทำงาน
และเป้าหมายในอาชีพ (Career Goals) ที่ผู้บังคับบัญชาได้วางไว้ให้สำหรับพนักงานแต่ละคน
รวมทั้งเป็นกระบวนการที่ผู้บังคับบัญชาจะต้องมีการติดตาม
และให้ข้อมูลป้อนกลับอย่างไม่เป็นทางการ (Informal Feedback) แก่พนักงานเป็นระย อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเชื่อมโยงความต้องการของพนักงานรายบุคคลให้ตอบรับหรือสนองตอบต่อความต้องการในระดับองค์กร
พบว่า IDP ที่ดีจะต้องเป็นแผนในการเพิ่ม พัฒนา
และปรับปรุงระดับสมรรถนะหรือขีดความสามารถ (Competency) ในการทำงานของพนักงานในปัจจุบัน
ซึ่งแผนงานที่กำหนดขึ้นนั้นจะต้องช่วยให้พนักงานประสบความสำเร็จในงานที่ได้รับมอบหมายตามที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ
อีกทั้งยังเป็นการช่วยให้พนักงานมีแนวทางในการวางแผนอาชีพ (Career
Planning) ของตนอันนำไปสู่การทำงานที่บรรลุเป้าหมายตามที่หน่วยงานและองค์การต้องการ
เป็นแผนพัฒนาบุคลากรที่ถูกจัดทำขึ้นบนพื้นฐานของระดับสมรรถนะหรือสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาคาดหวังจากตำแหน่งงานหนึ่ง
(Expected
Competency) โดยการเปรียบเทียบกับระดับสมรรถนะในการทำงานจริงของพนักงานคนนั้น
(Actual Competency) ซึงผู้บังคับบัญชาจะต้องเป็นผู้กำหนดว่าอะไรคือสิ่งที่พนักงานจะต้องพัฒนาหรือปรับปรุงให้ดีขึ้น ด้วยการพิจารณาคัดเลือกเครื่องมือในการพัฒนา (Development Tools)
ที่เหมาะสมในการพัฒนาความรู้ความสามารถของพนักงาน เช่น การฝึกอบรม
การมอบหมายงาน การสอนงาน การให้พนักงานเรียนรู้ด้วยตนเอง การให้คำปรึกษาแนะนำ
การเป็นพี่เลี้ยงแก่พนักงาน เป็นต้น
เป็นแผนงานที่เน้นข้อผูกพันหรือข้อตกลงในการเรียนรู้ร่วมกัน
(Learning
Agreement) ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา
ถือได้ว่าเป็นแผนงานที่ช่วยสร้างบรรยากาศในการทำงานร่วมกัน
และบรรยากาศการทำงานที่ดีจะช่วยกระตุ้นให้พนักงานเกิดขวัญและกำลังในการทำงาน
ทำให้พนักงานไม่รู้สึกเบื่อไปกับการทำงานประจำวันที่ซ้ำซากจำเจ
จะเห็นได้ว่าความรู้สึกเบื่อหน่ายในการทำงานย่อมเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้องค์การสูญเสียพนักงาน
โดยเฉพาะพนักงานดาวเด่นที่มีผลการปฏิบัติดีเลิศ และมีศักยภาพในการทำงานสูง (High
Performance and High Potential)
เป็นระบบที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่องและเป็นขั้นตอน
มีการทบทวน ตรวจสอบ และเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่ง IDP ควรมีการทบทวนจากหัวหน้างานและพนักงานอย่างน้อยปีละครั้ง
โดยผู้บังคับบัญชาจะต้องทำหน้าที่ในการประเมินสมรรถนะของพนักงานก่อนการจัดทำ IDP
โดยแผน IDP จะต้องจัดทำขึ้นก่อนปีงบประมาณ
เพื่อนำข้อมูลจาก IDP ไปจัดทำแผนงบประมาณค่าใช้จ่ายในการพัฒนาพนักงานที่รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงานด้วยเช่นกัน
ข้อควรคำนึงถึงในการกำหนด
IDP ก็คือ IDP ไม่ใช่กระบวนการประเมินผลการปฏิบัติงาน
(Performance Appraisal) เพื่อการเลื่อนตำแหน่งงาน
หรือการปรับเงินเดือน และการให้ผลตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆ
จะเห็นได้ว่าผู้บังคับบัญชาและพนักงานหลายคนมีความเข้าใจผิดอยู่มากและมองว่า IDP
เป็นการลงโทษพนักงาน มอง IDP ในแง่ลบ
ด้วยการมองว่าหากพนักงานคนใดที่ผู้บังคับบัญชามีการจัดทำ IDP ให้ ก็เท่ากับว่าพนักงานคนนั้นทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
ไม่มีผลงานเท่าที่ควร จึงต้องได้รับการลงโทษจากผู้บังคับบัญชา นอกจากนี้ IDP มิใช่แผนงานที่จะรับประกันว่าหากพนักงานได้รับการพัฒนาแล้ว
พวกเขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งงานทันที ซึ่ง IDP เป็นแผนงานเพื่อเตรียมความพร้อมของพนักงานให้มีคุณสมบัติ
มีขีดความสามารถ
และศักยภาพในการทำงานสำหรับตำแหน่งงานที่สูงขึ้นต่อไปตามเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ
(Career Path) ที่กำหนดขึ้น
สรุปได้ว่าการจัดทำ
IDP นั้นเป็นแผนพัฒนาขีดความสามารถในการทำงานของพนักงานที่เน้นการสื่อสารแบบสองทางระหว่างผู้บังคับบัญชาและพนักงาน IDP จึงเป็นเสมือนเข็มทิศหรือทิศทางในการวางแผนอาชีพของตนเองเพื่อสร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
ซึ่งการจัดทำ IDP ให้เกิดประโยชน์และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพนั้นผู้บังคับบัญชาจะต้องให้ความร่วมมือและมีการปฏิบัติตามแผน
IDP อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
การพัฒนาบุคลากรเชิงกลยุทธ์สู่การเป็นบรรษัทภิบาล
ตัวชี้วัดความสำเร็จของการนำเอาระบบต่างๆเข้ามาใช้ในองค์กรนั้น
ไม่ได้อยู่ที่ระยะเวลาในการดำเนินการ ไม่ได้อยู่ที่ระบบขององค์กรนั้นๆมีโนฮาวสูงส่งหรือไม่
ไม่ได้อยู่ที่การลงทุนว่าจ้างที่ปรึกษาแพงๆมาวางระบบให้
ไม่ได้อยู่ที่ใบรับรองระบบที่ได้รับจากสถาบันต่างๆ
และไม่ได้อยู่ที่ใครนำไปใช้ก่อนใคร
แต่....ความสำเร็จของระบบที่แท้จริงคือระดับของ “จิตสำนึกของบุคลากร” ที่มีต่อระบบนั้นๆมากกว่า
ที่ผมกล้าพูดเช่นนี้ก็เพราะว่า
เกือบทุกองค์กรมักจะประสบความสำเร็จในการรณรงค์หรือการโปรโมทระบบต่างๆให้เกิดขึ้นในองค์กรได้โดยไม่ยากเย็นนัก
และบางระบบก็สามารถรักษาใบรับรองให้คงอยู่กับองค์กรได้ไม่ยากเช่นกัน
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่หลายองค์กรประสบคือ
บุคลากรไม่เห็นความสำคัญที่แท้จริงของระบบ สาเหตุที่ต้องทำตาม Procedure หรือ Work Instruction ก็เพราะถูกบังคับ
เพราะกลัวได้รับข้อตำหนิจากผู้ตรวจสอบทั้งภายในและภายนอก
ทุกคนมักจะตื่นตัวเฉพาะช่วงเวลาก่อนที่จะมีการตรวจสอบระบบเท่านั้น
สาเหตุประการหนึ่ง
ที่ผมคิดว่าน่าจะยังเป็นจุดอ่อนสำหรับการนำเอาระบบต่างๆเข้าไปใช้ในองค์กรแบบไทยๆของเราคือ
ขาดความจริงจังในการสร้างจิตสำนึกให้กับบุคลากรต่อระบบนั้นๆ
ระบบมาตรฐานบางอย่างมีการกำหนดไว้เลยว่าองค์กรต้องมีแผนงานหรือโครงการในการสร้างจิตสำนึกให้กับพนักงานทุกคน
แล้วเราก็จะเห็นแผนงานอันสวยหรูของหน่วยงานที่รับผิดชอบว่าจะมีการจัดฝึกอบรม
ทำโน่นทำนี่กันเยอะแยะไปหมด แต่พอดูเข้าไปลึกๆจริงๆ
มักจะพบว่ายังขาดการวัดประเมินและติดตามผลของการสร้างจิตสำนึก
ถ้าจะเจาะลึกลงไปอีกชั้นหนึ่งก็จะพบว่าสาเหตุที่ขาดการประเมินและติดตามผลที่แท้จริงคือ
เรามักจะเริ่มลงมาทำการพัฒนาหรือสร้างจิตสำนึกคนไปพร้อมๆกับการวางระบบ
พร้อมๆกับการเขียนคู่มือ Procedure หรือ Work Instruction ผมคิดว่ามันไม่ทันกินหรอกครับ
เพราะการสร้างจิตสำนึกของคนนั้นไม่สามารถใช้เวลาเพียงข้ามวันหรือข้ามคืนแล้วจะสร้างได้
เปลี่ยนได้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นองค์กรมักจะมอบหมายให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง
(โดยเฉพาะ HR หรือฝ่ายบุคคล) ทำหน้าที่สร้างจิตสำนึกให้กับพนักงาน
แล้วเมื่อไหร่จะสำเร็จละครับ ของอย่างนี้มันต้องรับผิดชอบกันทั้งองค์กรครับ
จะมอบหมายให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งรับผิดชอบคนเดียวนั้นคงไม่ได้
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เพียงเพื่อต้องการให้ทุกองค์กรมองเรื่องการพัฒนาคนให้ไกลกว่านี้
การทำหน้าที่พัฒนาคนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมตัวก่อนที่จะมีระบบหลายช่วงตัว
ผมอยากจะบอกว่าการพัฒนาคนเหมือนกับรถที่ใช้น้ำมันดีเซลเครื่องจะร้อนช้าต้องออกตัวไปก่อน
เพราะตัวระบบนั้นมันเป็นเครื่องเบนซินถึงแม้จะออกตัวหลังก็สามารถตามทันกันได้โดยไม่ยาก
กระแสขององค์กรแบบโปร่งใสหรือที่นิยมเรียกกันว่า
(Corporate
Governance) นั้นกำลังมาแรง
ที่จะแซงทางโค้งได้หรือไม่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
แต่ที่แน่ๆคือในอนาคตองค์กรต่างๆคงจะหลีกหนีเรื่องนี้ไม่พ้นแน่ๆ
ถ้าเรารู้เช่นนี้แล้ว
และเพื่อไม่ให้เกิดประวัติซ้ำรอยในการพัฒนาคนเหมือนกับการนำเอาระบบต่างๆเข้ามาใช้ในองค์กรดังที่กล่าวมาแล้วนั้น
ขอให้เริ่มคิดเริ่มวางแผนหรือถ้าเริ่มดำเนินการพัฒนาคนล่วงหน้าได้จะยิ่งดีครับ
บรรษัทภิบาลถือเป็นระบบเกี่ยวข้องกับจิตใจคนมากที่สุดถ้าเปรียบเทียบกับระบบอื่นๆที่เรามีอยู่ในองค์กร เพราะระบบอื่นๆ เช่น ISO 5ส ข้อเสนอแนะ ฯลฯ นั้นมักจะเน้นที่ตัวระบบมากกว่าตัวคน พูดง่ายๆคือถึงแม้คนยังไม่มีจิตสำนึกในเรื่องนั้นๆเท่าไหร่ก็พอที่จะบังคับกันได้ แต่ระบบบรรษัทภิบาลนี้ตีเข้าตรงใจ (จิตสำนึก) ของคนแบบตรงๆเลย เพราะเราไม่สามารถทำระบบขึ้นมาเพื่อให้ดูเหมือนโปร่งใสได้ ถ้าจิตใจของบุคลากรของเรายังไม่โปร่งใส ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นคือ องค์กรที่มีระบบต่างๆโปร่งใสเปรียบเสมือนแก้วน้ำที่ใส แต่ถ้าในองค์กรนั้นยังมีคนบางคนยังไม่โปร่งใสแล้ว คงไม่ต่างอะไรไปจากก้อนน้ำแข็งที่มีเศษดำๆติดอยู่ในแก้วใส โดยทั่วไปแล้วความรู้สึกของเราเวลาเราเจอเศษอะไรดำๆอยู่ในแก้วน้ำแข็งของเรา เรามักจะให้เขาเปลี่ยนแก้วใหม่ให้เราเลย เราไม่ค่อยยอมที่จะให้เขาหยิบเศษดำๆออกไปแล้วใช้แก้วเดิม ความรู้สึกนี้จะไม่แตกต่างไปจากความรู้สึกของนักลงทุนหรือผู้ถือหุ้นหรอกนะครับ เพราะถ้าเขารู้สึกไม่ดีกับความไม่โปร่งใสของคนบางคนในองค์กรของเราแล้ว โอกาสที่เขาจะเปลี่ยนแปลงการลงทุนก็มีมากขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้น องค์กรที่โปร่งใสต้องโปร่งใสทั้งระบบและจิตใจของคนที่อยู่ในระบบนั้น เมื่อเราทราบแล้วว่าปัญหาในการพัฒนาบุคลากรของเราอยู่ตรงที่ “ใจ” ผมขอแนะนำแนวทางเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาบุคลากรเพื่อนำองค์กรไปสู่การเป็นบรรษัทภิบาล 2 เรื่องหลักดังนี้ • ต้องออกสตาร์ทก่อน ผมได้เกริ่นมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า สาเหตุที่เราไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาคนเพื่อ รองรับระบบต่างๆในองค์กรให้ถึงขั้นที่เรียกว่าประสบความสำเร็จได้นั้น เพราะสาเหตุ สำคัญคือเรามีเวลาในการเตรียมตัวพัฒนาน้อยไป (เราพัฒนาจิตสำนึกคนพร้อมกับระบบฯ)
ผมจึงอยากจะเสนอแนะว่าถ้าเราต้องการพัฒนา
“จิตสำนึก” ของบุคลากรให้มีความไวต่อ ความโปร่งใสแล้วละก้อ เราจะต้องเริ่มออกสตาร์ทในการพัฒนาคนก่อนที่องค์กรจะนำเอา ระบบนี้เข้ามาใช้จริง เพราะการออกสตาร์ทก่อนนี้จะช่วยให้เรามีเวลามากเพียงพอที่จะ เปลี่ยนแปลงทัศนคติคนได้ เราพัฒนาแบบไม่มีอะไรมาบังคับ ไม่ว่าเวลา
ไม่ว่าข้อกำหนด ในด้านอื่นๆของระบบ
นอกจากนี้คนที่ถูกพัฒนาจะไม่รู้สึกว่าเขากำลังถูกบังคับ อย่าลืมนะ ครับว่าถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คนเรารู้สึกว่าเขาถูกบังคับ
อาการหนึ่งที่จะเกิดขึ้นมาควบคู่กัน เสมอคือการต่อต้าน
ดังนั้น ถ้าเราเริ่มต้นก่อนเราสามารถพัฒนาคนของเราแบบซึมลึกโดยที่ เขาไม่รู้ตัวได้ดีกว่านะครับ
ไม่ใช่โหมอบรมเพื่อสร้างจิตสำนึกกันทั้งเดือน(เพียงเดือนเดียว) เหมือนในอดีต
การพัฒนาจิตสำนึกของคนเราไม่สามารถล้วงลึกเข้าไปถึงจิตใจของเราได้ทันที
แต่เราต้อง หาวิธีหรือเทคนิคในการกระตุ้นให้เขาไปเกิดจิตสำนึกด้วยตัวเขาเอง
เหมือนกับการรักษา โรคด้วยการฝังเข็ม
เราไม่สามารถเข้าไปรักษาอาการปวด ณ จุดที่ปวดได้โดยตรง แต่เรา อาศัยการกระตุ้นโดยผ่านเส้นเลือด
ให้เส้นเลือดวิ่งไปรักษาอาการปวดด้วยระบบภายใน ด้วยระบบของมันเอง
• พัฒนาจากวงในไปสู่วงนอก
เราต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการพัฒนาคนจากรูปแบบเดิมที่เราเริ่มจากการพัฒนาจากภายนอกสู่ ภายใน เช่น ให้ความรู้เขาก่อนและค่อยมาบังคับจิตใจให้เขานำความรู้ไปใช้กันภายหลัง ไปสู่การเริ่มต้นพัฒนาจากจิตใจออกมาสู่ภายนอก เช่น ทำอย่างไรให้เขารู้สึกว่าเรื่อง ผลประโยชน์ขัดกัน เรื่องการทุจริต เรื่องความไม่โปร่งใสในการทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญต่อ ชีวิตของเรา ต่อความก้าวหน้าในอาชีพ โทษของมันเป็นอย่างไร มีตัวอย่างจริงมาเล่าสู่กัน ฟังบ้างหรือไม่ เมื่อเขาเริ่มตระหนักในเรื่องนี้แล้ว ค่อยไปสู่กระบวนการให้ความรู้ต่อไป
ผมอยากจะอธิบายคำว่า
“จิตสำนึก” ในความหมายของผมคือ “ความอยาก” เช่น เราต้องการ พัฒนาคนให้มีจิตสำนึกเรื่องความปลอดภัย
คือเราจะทำอย่างไรให้คนอยากที่จะปลอดภัย นั่นเอง ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเกิดความอยากขึ้นมาแล้ว
ความรู้ เทคนิควิธีการต่างๆไม่ต้อง ไปสอนเขามาก
เขาจะไปแสวงหาเอาเอง และยิ่งถ้าเขาเกิดความอยากแล้ว เรามีสิ่งที่เขา ต้องการให้เขาด้วย
ถือว่าเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดสำหรับการสร้างจิตสำนึกให้กับคน
การพัฒนาจิตสำนึกของคนเหมือนกับการโยนก้อนหินลงน้ำ
เราจะเห็นว่าจุดเริ่มต้น ของมันเป็นเพียงจุดเล็กๆเท่ากับขนาดของก้อนหินที่เราโยนลงไปเท่านั้น
แต่หลังจากนั้นมัน จะกระจายออกเป็นวงกว้างออกไปเรื่อยๆ
ด้วยแรงอัดของก้อนหินที่มีต่อน้ำในจุดแรก ซึ่ง ไม่แตกต่างอะไรไปจากการพัฒนาจิตสำนึกของคน
ถ้าเขามีจิตสำนึกแล้วจะส่งผลกระทบ ต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
และรวมไปถึงจะส่งผลกระทบไปยังบุคคลรอบข้างและ สังคมรอบตัวเขาเองด้วยเช่นเดียวกัน
การบริหารกำลังคนแบบมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐศาสตร์ (Economic Value
Added)
เทคนิคการกำหนด KPIs ของการฝึกอบรม
ปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขสำหรับวงการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในบ้านเราคือ
ทำอย่างไรเราจึงจะทราบว่าการฝึกอบรมบุคลากรในองค์การมีประสิทธิภาพหรือเกิดประสิทธิผลมากน้อยเพียงใด
โจทย์ข้อนี้มิใช่เฉพาะผู้บริหารที่ต้องการคำตอบ
แต่การแข่งขันทางธุรกิจสมัยใหม่และข้อกำหนดของมาตรฐานสากลประเภทต่างๆ
ก็เริ่มถามหาคำตอบนี้เช่นเดียวกัน ดังนั้น การฝึกอบรมจึงไม่สามารถรีรอให้เป็นไปตามยถากรรมเหมือนในอดีตที่ผ่านมาได้อีกต่อไปแล้ว
เราจะเห็นว่างบประมาณการพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากรของหลายองค์การนั้น
มีมูลค่าไม่น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับยอดค่าจ้างทั้งปี
โดยเฉลี่ยแล้วมักจะตกอยู่ที่ประมาณ 3-5% ของยอดค่าจ้างทั้งปี แต่ในบางองค์การ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจทางด้านไอทีที่สินทรัพย์ส่วนใหญ่ไม่ใช่ตัวอาคารหรือเครื่องจักร
แต่สินทรัพย์ส่วนใหญ่คือบุคลากร
ในธุรกิจนี้มักจะทุ่มเทให้กับการพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากรในอัตราสูงมาก
บางบริษัทได้จัดสรรงบประมาณในด้านนี้ไว้สูงถึง 30-40% ของยอดค่าจ้างทั้งปี
นั่นหมายถึงทุกๆ 100 บาทของเงินเดือน
บริษัทยังได้จัดสรรงบประมาณสำหรับการพัฒนาฝึกอบรมไว้อีก 30 – 40 บาท
ตัวชี้วัดการฝึกอบรมส่วนมากมักจะวัดกันที่ จำนวนชั่วโมงการฝึกอบรมต่อคนต่อปี อัตราพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมต่อจำนวนพนักงานทั้งหมด อัตราการเข้าร่วมฝึกอบรม(จำนวนผู้เข้าร่วมจริงเทียบกับยอดของผู้ที่ต้องเข้าร่วม) ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมต่อคนต่อปี การประเมินผลหลังการฝึกอบรม ความพึงพอใจของผู้เข้ารับการฝึกอบรม ประเมินผลวิทยากร ฯลฯ ซึ่งตัวชี้วัดเหล่านี้ไม่สามารถตอบคำถามผู้บริหารระดับสูงหรือเจ้าของเงินทุนได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า การจัดฝึกอบรมในครั้งนั้นๆ คุ้มหรือไม่กับเงินลงทุนของเขา และคำถามที่ยังรอคำตอบนี้เปรียบเสมือนสนิมที่คอยกัดกร่อนเครดิตและความน่าเชื่อถือทั้งทางด้านการฝึกอบรมและผู้รับผิดชอบในด้านนี้มาเป็นเวลานาน การกำหนดตัวชี้วัดให้สามารถตอบโจทย์ในเชิงการบริหารธุรกิจได้ ผู้จัดฝึกอบรมจะต้องตอบคำถาม 2 ข้อดังนี้ก่อน 1) ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณต้องการอะไรจากการฝึกอบรมบุคลากร? 2) การฝึกอบรมบุคลากรที่ดีและไม่ดีวัดกันที่ตรงไหน? คำถามเพียงสองข้อนี่เองที่จะนำเราไปสู่การกำหนดตัวชี้วัดผลงานหลักของงานด้านฝึกอบรม ถ้าการตอบคำถามสองข้อนี้เปรียบเสมือนการทำข้อสอบในห้องเรียนแล้ว นักเรียน(คนที่ทำงานด้านการฝึกอบรม) ส่วนใหญ่มักจะยังไม่ค่อยได้ตอบคำถามในข้อแรก แต่มักจะข้ามไปตอบข้อที่สองกันมากกว่า เหตุผลที่สำคัญคือคนจัดฝึกอบรมจะรู้สึกลำบากใจมากที่จะต้องสมมติตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจ มักจะคิดเสมอว่าตัวเองเป็นลูกจ้าง ดังนั้น กรอบความคิดของเราจะไม่หลุดพ้นออกจากกรอบความคิดของลูกจ้าง ทำให้เราไม่สามารถตอบคำถามในข้อนี้ได้ สำหรับคำตอบในข้อที่หนึ่งที่ถูกต้องคือ “กำไรและการเติบโต (Profits and Growth)” ซึ่งหมายถึง ประสิทธิผลของการฝึกอบรม (Training Effectiveness) เราต้องไม่ลืมว่าเป้าหมายของการทำธุรกิจเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากกำไรและการเติบโตขององค์การ จึงเป็นที่แน่นอนว่าทุกกิจกรรมที่ลงทุนไปนั้น จะต้องอยู่บนพื้นฐานของผลตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาว และสิ่งที่ผู้บริหารคาดหวังจากการฝึกอบรมก็คือ ผลกระทบจากการฝึกอบรม (Impacts) ที่มีต่อกำไรและการเติบโต ซึ่งผลกระทบนี้จะเกิดขึ้นใน 2 ลักษณะคือ
สำหรับคำตอบของคำถามข้อที่สองที่ถูกต้องคือ
ประสิทธิภาพในการจัดฝึกอบรม (Training Efficiency) ในการวัดประสิทธิภาพของการจัดฝึกอบรมนี้
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความสอดคล้องกับประสิทธิผลหรือผลกระทบในข้อที่หนึ่ง
ประสิทธิภาพเป็นตัวบ่งชี้ผลของกิจกรรมคือผลที่เกิดขึ้นจากการจัดฝึกอบรม
ซึ่งสามารถวัดจาก 2 ลักษณะคือ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการนำเอา
KPIs ด้านการฝึกอบรมไปใช้ในองค์การคือ
ทุกคนในองค์การจะต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ว่าผลงานที่เกิดจากการฝึกอบรมนั้น
ไม่ใช่เป็นตัวชี้วัดผลงานของฝ่ายฝึกอบรมหรือฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์แต่เพียงผู้เดียว
แต่ตัวชี้วัดนี้จะต้องเป็นตัวชี้วัดรวมขององค์การ
และต้องกระจายไปสู่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถ้าไม่ทำเช่นนี้การวัดผลการฝึกอบรมไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน
ในทางกลับกันตัวชี้วัดผลงานด้านผลกำไรขององค์การ จะต้องถูกกำหนดให้เป็น KPI
ของฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ด้วยเช่นเดียวกัน
เพียงแต่ระดับของน้ำหนักคะแนนอาจจะแตกต่างกันไปตามลักษณะงานของแต่ละหน่วยงาน
ถ้าไม่มีการกระจายความรับผิดชอบในเรื่อง KPIs ในลักษณะนี้แล้ว
รับรองได้เลยว่าเราจะได้เฉพาะผลงานของหน่วยงานบางหน่วยงาน
แต่เราจะไม่ได้ผลงานรวมขององค์การ
สรุป การวัดผลงานในด้านการฝึกอบรมสามารถวัดได้ใน 2 ระดับ คือ วัดผลของกิจกรรม (Activity Results) ซึ่งสามารถวัดได้โดยผู้จัดฝึกอบรมและสามารถวัดได้ในระยะสั้น และการวัดผลกระทบที่เกิดจากกิจกรรมการฝึกอบรม (Training Impacts) ที่ต้องอาศัยผล (output)ที่ออกมาจากกระบวนการอื่นขององค์การและไปส่งผลกระทบต่อเป้าหมายหลักขององค์การอีกต่อหนึ่ง จึงขอแนะนำว่าก่อนที่จะจัดฝึกอบรมหลักสูตรใด ควรจะมีการศึกษาวิเคราะห์ให้ถ่องแท้ก่อนว่าหลักสูตรการฝึกอบรมนั้น สามารถตอบคำถามสองข้อข้างต้นดังกล่าวได้หรือไม่ และเราจะวัดผลของกิจกรรมและวัดผลกระทบได้อย่างไร ถ้าไม่สามารถตอบคำถามได้ ขอให้ยกเลิกการเสนอจัดหลักสูตรนั้นๆไปได้เลย ดังนั้น การจัดฝึกอบรมที่ดีควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Project Feasibility Study)ให้ดีเสียก่อนเหมือนกับการจัดทำโครงการอื่นที่ต้องศึกษาความเป็นไปได้ ต้นทุน ผลตอบแทน(ทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน)ก่อน ถึงแม้จะไม่ละเอียดเท่ากับโครงการการลงทุนประเภทอื่นก็ตาม อย่างน้อยก็ต้องพอที่บอกผู้บริหารได้ว่าหลักสูตรนี้ จะวัดผลสำเร็จกันที่ตรงไหน เราต้องไม่ลืมว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เราใช้ไปนั้นแฝงด้วยต้นทุนของเงินทุน (Capital Charge) เหมือนกับการลงทุนในโครงการอื่นๆ
แหล่งที่มาของความจำเป็นในการพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากร
การหาความจำเป็นในการฝึกอบรมส่วนใหญ่
เรามักจะใช้วิธีการส่งแบบสำรวจไปยังหน่วยงานต่างๆ ส่วนใหญ่จะสอบถามว่าหน่วยงานต่างๆต้องการให้พนักงานในสังกัดฝึกอบรมหลักสูตรอะไรบ้าง
ในแบบสำรวจก็จะยกตัวอย่างหัวข้อการฝึกอบรมไปให้ เช่น ภาวะผู้นำ การตัดสินใจ
การแก้ไขปัญหา การทำงานเป็นทีม ฯลฯ
แต่...พอสรุปผลการสำรวจออกมาจริงๆ
ก็พบว่าผลการสำรวจปีนี้ไม่ค่อยแตกต่างอะไรจากปีที่ผ่านๆมา
และยิ่งกว่านั้นคือพอจัดอบรมจริง ไม่เห็นมีใครส่งพนักงานเข้าร่วมเลย
เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วที่เราสำรวจมาได้นั้นเป็น Training Needs หรือ Training
Wants ของผู้กรอกแบบสำรวจ
เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว
จึงขอแนะนำแหล่งที่มาของการวิเคราะห์ความจำเป็นในการฝึกอบรมดังนี้
สรุป
การวิเคราะห์หาความจำเป็นในการฝึกอบรม จำเป็นต้องดำเนินการในทุกด้าน ทั้งนี้
เพื่อให้ครอบคลุมที่แท้จริงขององค์กร
และสามารถนำมาใช้ในการจัดทำแผนการพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากรได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
|
Comments