งานวิจัยชั้นเรียน


เจตคติของนักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ชั้นปีที่ 2 ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา: รายวิชา การบริหารการปกครองท้องถิ่นเปรียบเทียบและการบริหารงานคลังและงบประมาณ
ภาคการศึกษาที่ 2/2553

หลักสูตร รัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์

ศุภวัฒน์ ปภัสสรากาญจน์:               อาจารย์ประจำหลักสูตร


1. ความสำคัญของปัญหา
            นอกจากการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาศักยภาพ คุณภาพของผู้เรียนในระดับอุดมศึกษาตามกรอบคุณภาพซึ่งมีการกำหนดเป็นนโยบายโดยสำนักงานคณะกรรมการสถาบันอุดมศึกษา(สกอ.) และได้รับการนำมาปฏิบัติในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย
                กระบวนการเรียนการสอนจำเป็นต้องมีการปรับปรุงและสร้างสรรค์โดยผู้สอนเพื่อพัฒนาให้ระบบการเรียนการสอนในชั้นเรียนเป็นไปด้วยความน่าสนใจและดึงดูดผู้เรียน อันจะทำให้เกิดความสัมฤทธิผลทางการศึกษา
                การเรียนการสอนในหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ ของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 (รหัส 52) ภาคเรียนที่ 2/2553 ผู้ศึกษาได้สังเกตพฤติกรรมการเข้าฟังการบรรยาย การร่วมกิจกรรมในชั้นเรียน รวมถึงผลการประเมินในชั้นเรียนทั้งในภาพรวมและรายบุคคลพบว่า นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ต่างกันพอสมควร และพบว่าอัตราการเข้าชั้นเรียนมีสูงถึงร้อยละ 99 ทั้งที่ไม่ได้มีสิ่งดึงดูดทั้งในเชิงบังคับ (Negative) และการให้รางวัลซึ่งได้แก่คะแนนการเข้าชั้นเรียน (Positive)
                ทั้งนี้ผู้ศึกษาจึงมีความสนใจในลักษณะค่านิยมที่สะท้อนผ่านเจตคติของนักศึกษาดังกล่าวว่ามีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษามากน้อยเพียงใด

1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา
เพื่อศึกษาปัจจัยด้านเจตคติของ นักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ชั้นปีที่ 2 (รหัส 52) ภาคเรียนที่ 2/2553 ที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา


1.3 ขอบเขตในการศึกษา
1. ขอบเขตด้านเนื้อหา
                การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาเจตคติของนักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์และการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ดังกล่าวระหว่างนักศึกษาสองกลุ่มรายวิชาได้แก่ รายวิชา การบริหารการปกครองท้องถิ่นเปรียบเทียบ และรายวิชา การบริหารงานคลังและงบประมาณ
 2. ขอบเขตด้านประชากร
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สอง(รหัส52) หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ประจำภาคเรียนที่ 2/ 2553 โดยเลือกสุ่มตัวอย่างจำนวน 44 คน ในแต่ละกลุ่มรายวิชากลุ่มละ 22 คน 
                1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
                 การศึกษาครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
1. นำไปสู่การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน ประสิทธิภาพของผู้สอน   
2.  ความสามารถในการสนองตอบต่อความต้องการของนักศึกษา ทั้งด้านรูปแบบและลักษณะการเรียนการสอน 
1.5 สมมติฐานในการศึกษา
เจตคติของ นักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ชั้นปีที่ 2 (รหัส 52) ภาคเรียนที่ 2/2553 มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาทั้งสองรายวิชา
                1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ
                1. เจตคติ หมายถึง ทัศนคติ ค่านิยมของนักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ชั้นปีที่ 2 ที่สะท้อนพฤติกรรมการเข้าเรียน และความสนใจในการเรียนรายวิชาการบริหารการปกครองท้องถิ่นเปรียบเทียบ และรายวิชา การบริหารงานคลังและงบประมาณ ประจำภาคการศึกษาที่ 2/2553 ซึ่งแบ่งระดับค่าคะแนนดังต่อไปนี้

                                น่าเบื่อที่สุด           ค่าคะแนนเท่ากับ                                                 1
                                น่าเบื่อ                    “             ”                                                      2
                                เฉยๆ                       “            ”                                                      3
                                น่าเรียน                 “               ”                                                      4
                                น่าเรียนมาก         “                 ”                                                      5
               
            2. นักศึกษา หมายถึง นักศึกษาชั้นปีที่สอง หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษย์ศาสตร์       มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา การบริหารงานคลังและงบประมาณและการบริหารการปกครองท้องถิ่นเปรียบเทียบจำนวน 44 คน

2แนวคิดทฤษฎี
            เจตคติของนักเรียนที่มีต่อหลักสูตรในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้านต่างๆ ของ Abdallah (Arman Roebuck , 2009)  สรุปได้ว่าเจคติที่ดีทำให้เกิดสัมฤทธิผลทางการเรียนที่ดี
ปัญหาที่เกิดกระบวนการเรียนรู้ มาจากปัจจัยประการหนึ่งคือ ทัศนคติของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้  การศึกษา  Arman ทำการศึกษาแบบทดลองโดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียน 14 คน ทำการทดสอบหลังจากกระบวนการเรียนการสอนในรายวิชาที่ใช โดยเครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบคือ  El-Gazzar Instructional Design Model และใช้ตัวแบบ MOODLE-LMS ในการปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนของรายวิชาโดยทำการทดสอบทั้งก่อนและหลังกระบวนการจัดการเรียนการสอนผลการ ศึกษาพบว่า การจัดการเรียนการสอน  ประสบผลสำเร็จมากกว่าร้อยละ 80 โดยมีนัยสำคัญ

3. วิธีการดำเนินการศึกษา
            การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาเจตคติของนักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์และการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ดังกล่าวระหว่างนักศึกษาสองกลุ่มรายวิชาได้แก่ รายวิชา การบริหารการปกครองท้องถิ่นเปรียบเทียบ และรายวิชา การบริหารงานคลังและงบประมาณ
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สอง(รหัส52) หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ประจำภาคเรียนที่ 2/ 2553 โดยเลือกสุ่มตัวอย่างแบบง่าย จำนวน 44 คน ในแต่ละกลุ่มรายวิชากลุ่มละ 22 คน 
            การวิเคราะห์ด้านเจตคติของนักศึกษาที่มีต่อรายวิชาทั้งสองรายวิชา จะวิเคราะห์โดยใช้อัตราส่วนร้อย ค่าเฉลี่ยและสถิติ  the square of  Eta (η2) ในการวิเคราะห์ผลกระทบต่อกลุ่มตัวอย่างโดย  η = t2/(t2 +df ), t-value และ ค่าความเป็นอิสระ หรือ Degree of freedom (df) ซึ่งปัจจัยด้านเจตคติควรมากกว่าค่า  η2  ที่ 0.14 จึงจะถือว่า นักศึกษามีเจคติที่ดีต่อวิชาทั้งสองรายวิชาและมีผลต่อขนาดของกลุ่มตัวอย่างในระดับกว้าง  
4. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
                จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 44 คนจากสองรายวิชาได้แก่ รายวิชา การบริหารงานคลังและงบประมาณ รายวิชา การบริหารปกครองท้องถิ่นเปรียบเทียบพบว่า คะแนนค่าเฉลี่ยของนักศึกาที่มีเจตคติในระดับเฉยๆ มีมากที่สุดถึง 52.3 รองลงมาเป็นระดับเจตคติ น่าเรียน 36.4 หากพิจารณาระดับเจตคติต่อผลสัมฤทธิทางการศึกษาพบว่า นักศึกษาที่มีเจตคติที่ดีในระดับน่าเรียนมากจะมีคะแนนดีกว่านักศึกษาในระดับเจตคติอื่นๆ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าระดับเจตคติในระดับน่าเบื่อจะมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาสูงกว่าในระดับเฉยๆ

ตารางที่ 1 อัตราส่วนร้อยของเจตคติและค่าคะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา

ตัวแปร
น่าเรียนมาก
น่าเรียน
เฉยๆ
น่าเบื่อ
น่าเบื่อมาก

จำนวน
ร้อยละ
จำนวน
ร้อยละ
จำนวน
ร้อยละ
จำนวน
ร้อยละ
จำนวน
ร้อยละ
ระดับเจตคติ
2
4.5
16
36.4
23
52.3
3
6.8
-
-
ระดับค่า
คะแนนเฉลี่ยที่สอบได้
74.00
67.81
64.04
66.67
-
-
จำนวนนักศึกษา

44 คน

ระดับคะแนนเฉลี่ย ด้านเจตคติของนักศึกษาทั้งสองกลุ่มคือ 3.386 ซึ่งหมายความว่า ระดับเจตคติที่มีต่อวิชานี้อยู่ในเกณฑ์เฉยๆ คือไม่ได้สนใจมาก และไม่ได้เป็นวิชาที่น่าเบื่อ ค่าคะแนนเฉลี่ยรวมที่แสดงสัมฤทธิผลของนักศึกษาทั้งสองกลุ่มเท่า 66.046 ซึ่งอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ ดังตารางที่ 2

ตารางที่ 2 ค่าเฉลี่ยของระดับเจตคติและผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา
 ตัวแปร
จำนวน
ค่าเฉลี่ย
Std
Max
Min
ระดับเจตคติ
44
3.3864
0.68932
5
2
ระดับค่าเฉลี่ยของคะแนนรวมที่สอบได้
44
66.0455
8.77882
82
48

ทั้งนี้ ข้อสังเกตของนักศึกษาจำนวนร้อยละ 52.3 ซึ่งตอบว่าเฉยๆได้ให้ไว้คือ  รายวิชาทั้งสองเป็นวิชาที่ต้องเรียนเนื่องจากหากไม่เรียนจะไม่ผ่าน จึงจำเป็นต้องเรียนและรับผิดชอบเท่าที่จะทำให้ตนเองผ่านในระดับคะแนนที่ตนเองพอใจ
                 อย่างไรก็ตาม มีนักศึกษาร้อยละ 6.8 ที่ตอบว่าน่าเบื่อ เนื่องจากรูปแบบการเรียนการสอนไม่หลากหลายตามความต้องการของตน แต่ต้องเข้าเรียนเพราะหากไม่เข้าเรียนจะไม่เข้าใจในเนื้อหาวิชา ร้อยละ 36.4 ตอบว่าน่าสนใจและน่าเรียน และร้อยละ 4.5 ตอบว่าน่าเรียนและน่าสนใจมาก


ตารางที่ 3  ผลของเจตคติที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาและระดับผลกระทบต่อกลุ่มตัวอย่าง

จำนวนนักศึกษา
ผลกระทบต่อขนาดกลุ่มตัวอย่าง
df
t value
eta squere (η2 )
Sig.
44
ระดับกว้าง(Large)
43
49.80
 0.983
0.00

                การวิเคราะห์ระดับเจตคติของนักศึกษาที่มีต่อสัมฤทธิผลทางการศึกษาและผลของเจตคติต่อกลุ่มตัวอย่างพบว่า ค่า t value = 49.80,  df = 43,  eta squere (η2 ) = 0.983 และระดับนัยสำคัญ 0.00
                จากการหาค่าผลกระทบจากระดับเจตคติที่มีต่อรายวิชาของกลุ่มตัวอย่าง มีในระดับกว้าง (แผนภาพที่ 1) เมื่อพิจารณา eta squere (η2 ) พบว่า มากกว่าระดับที่กำหนดไว้คือ 0.14 จึงสรุปได้ว่า นักศึกษามีเจตคติที่ดีต่อการเรียนการสอน และมีเจตคติที่ดีต่อรายวิชาทั้งสองรายวิชาได้แก่ การบริหารงานคลังและงบประมาณ และการบริหารการปกครองท้องถิ่นเปรียบเทียบโดยมีนัยสำคัญ
               
แผนภาพที่ 1 ผลของเจตคติที่มีต่อรายวิชา การบริหารงานคลังและงบประมาณและการบริหารการปกครอง
                     ท้องถิ่นเปรียบเทียบของนักศึกษา



5. สรุปและอภิปรายผล
                การศึกษาเจตคติของนักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ ในรายวิชาการบริหารงานคลังและงบประมาณ และรายวิชาการบริหารการปกครองท้องถิ่น ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 44 คน นักศึกษาส่วนใหญ่มีเจตคติในระดับปานกลางซึ่งเป็นระดับที่นักศึกษาไม่ได้สนใจในรายวิชาที่เรียนทั้งสองวิชา แต่ต้องมีความรับผิดชอบในการศึกษา เข้าเรียนตรงเวลา และเข้าเรียนทุกครั้งโดยไม่มีสิ่งจูงใจใดๆเช่น คะแนนการเข้าเรียนการให้อิสระในการเรียนโดยไม่มีการบังคับใดๆ ทั้งนี้ การเข้าเรียนดังกล่าวกระทำเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวิชา และนำไปใช้ในการประเมินผลการเรียนให้ผ่านในระดับที่ตนเองพอใจ
                แนวโน้มของสัมฤทธิผลทางการศึกษาของนักศึกษา ขึ้นอยู่กับเจตคติทางบวกหรือทางลบของนักศึกษา แนวโน้มของนักศึกษาที่มีเจตคติในทางบวกจะมีผลต่อสัมฤทธิผลของนักศึกษาในทางบวกเช่นกันจะเห็นว่า สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มดังกล่าวคือค่าเฉลี่ยของคะแนนสัมฤทธิผล อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีเจตคติในทางลบยังคงมีจิตสำนึกที่มีความรับผิดชอบต่อการเรียนการสอน โดยจะเห็นว่าระดับคะแนนที่ได้อยู่ในระดับปานกลางแม้ว่าจะเป็นระดับปานกลางค่อนข้างต่ำก็ตาม   ระดับเจตคติของนักศึกษามีผลต่อสัมฤทธิผลทางการศึกษาในระดับกว้างดังแผนภาพที่ 1
                ข้อเสนอแนะของนักศึกษาในกลุ่มที่มีเจตคติด้านลบคือ คือความหลากหลายในกิจกรรมการสอน ระบบสื่อการเรียนการสอนที่ต้องมีรูปแบบหลากหลายสวยงาม ไม่ราบเรียบจนเกินไป
                สิ่งดังกล่าวผู้ศึกษาจะได้นำไปปรับปรุง ทั้งวิธีการเรียนการสอน กิจกรรม การบรรยายตลอดจนการปรับปรุงให้สื่อการเรียนการสอนมีรูปแบบที่สวยงามไม่ราบเรียบจนเกินไป



                  

บรรณานุกรม

Abdallah Arman. (2009). The Effect of e-learning Approach on Students’ Achievement in
Biomedical Instrumentation. Course at Palestine Polytechnic University. Ph.D dissertation. Ain ShamsUniverity.

Comments

Popular posts from this blog

ลิ้งค หน้าเว็บ